ถ้า หากว่าใจของพวกเจ้านั้นยังไม่ใสสะอาดพอ แต่กลับมีจิตใจที่เต็มไปด้วยตัณหาความอยากได้ เช่น ดวงตาชอบมองแต่สิ่งที่สวยงาม จมูกชอมดมแต่กลิ่นที่หอมหวน ปากชอบลิ้มรสอาหารอันเลอเลิศ หูชอบฟังแต่เสียงที่ไพเราะ กายชอบอยู่ในที่ที่สบาย ชอบสวมเสื้อผ้าประดับเครื่องแต่งกายที่หรูหรา ความคิดฟุ้งซ่านเพ้อฝัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้ยังไม่นับว่าเป็นการสำรวมเที่ยงตรง
ฉะนั้น การบำเพ็ญภายนอกเพียงอย่างเดียว ไม่บำเพ็ญคุณธรรมภายใน ปล่อยให้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เต็มไปด้วยอาสวะ ถึงแม้ว่าภายนอกจะแต่งกายดูสะอาดเรียบร้อยและสง่างามเพียงใด ก็ยังไม่นับว่าเป็นการสำรวมเที่ยงตรงได้
เพราะ ฉะนั้น การสำรวมเที่ยงตรง ไม่เพียงแต่จัดแต่งทรงผมเรียบร้อย แต่งกายเหมาะสม กริยาภายนอกสำรวมเท่านั้น แต่ต้องมีการสำรวมจิตใจ และสำรวมซึ่ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือพูดได้อีกอย่างว่า เจ้าสามารถควบคุมจิตใจไม่ให้บังเกิดความคิดที่ฟุ้งซ่าน ต้องมีจิตใจอันหนักแน่น ถึงจะเป็นการสำรวมเที่ยงตรง ที่แท้จริง
ศิษย์ ทั้งหลาย ! แล้วพวกเจ้าจะมีความสำรวมเที่ยงตรงได้อย่างไร ? ก่อนอื่นควรเที่ยงตรงที่ตนก่อนแล้วจึงทำให้ผู้อื่นเที่ยงตรง ใช่หรือไม่ คิดที่จะทำตนให้เป็นคนเที่ยงตรง ควรฟื้นฟูความสว่างของจิตเดิมแท้เสียก่อน จึงจะสามารถแปรเปลี่ยนและส่งผลต่อคนรอบข้างให้คล้อยตามได้ ใช่หรือไม่ และในยามที่แสงสว่างองจิตเดิมแท้ได้ถูกฟื้นฟูให้ปรากฎออกมาแล้ว เจ้ายังคงต้องรักษาซึ่งกิริยา มีวาจาอันถูกต้องเที่ยงธรรม มีจรรยามารยาท ถ้าหากเจ้าทำได้เช่นนี้จึงจะสามารถนำพาญาติธรรม ใช้กิริยาอันสำรวมเที่ยงตรง และมารยาทที่ดีงามมานำพาผู้อื่นได้
ใน กาลสามยุคสุดท้ายนี้ พวกเจ้าควรรู้ว่าเพียงแค่พูดธรรมะอย่างเดียวนั้นใช้ไม่ได้แล้ว เดิมทีธรรมะนั้นก็มิได้อาศัยการพูดการบรรยาย แต่อยู่ที่การปฏิบัติแล้วจะปฏิบัติอย่างไร นั่นก็คือใช้จิตเดิมแท้อันใดสว่างแสดงออกซึ่งกิริยาอันสำรวมเที่ยงตรง ให้วาจา และการกระทำนั้นถูกต้องต่อจริยธรรม จิตใจสะอาดใสไร้มลทิน ความคิดไม่ผิดไปในทางมิจฉา อีกทั้งอารมณ์ ๗ ฉันทา ๖ ก็มิได้ทำให้หวั่นไหวอีกต่อไป เช่นนี้ถึงจะเรียกได้ว่า สำรวมเที่ยงตรง ที่แท้จริง
ฉันทา ๖ คือ รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, อารมณ์
อารมณ์ ๗ คือ ยินดี, โทสะ, เศร้าโศก, ร่าเริง, รัก, เกลียด, ราคะ
No comments:
Post a Comment