Friday

ขั้นตอนการบำเพ็ญ

ธรรมะคืออะไร ? ธรรมะคือหนทาง หนทางแห่งการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลังจากที่เราได้รับธรรมะแล้ว นั่นคือการได้รับรู้หนทาง แต่เพียงแค่การได้รับรู้หนทางจะช่วยให้เราหลุดพ้นได้หรือไม่ ? ดังนั้น หลังจากรับธรรมะแล้วยังจะต้องเพิ่มในการบำเพ็ญปฏิบัติ ด้วยมหาธรรมนี้เป็นสิ่งที่สูงส่งสูงสุด ครั้งแรกที่มีการอบรมธรรมะในประเทศไทย พระอาจารย์จี้กงประทับญาณร่างสามคุณชาวไต้หวัน ประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “อนุตตรธรรม” ซึ่งตรงกับภาษาจีนที่ว่า “天道” อนุตตรธรรมแปลว่าอะไร ? อนุตตรคือความสูงส่ง สูงสุด ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ธรรมคือธรรมะ คือสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง อนุตตรธรรม จึงหมายถึงธรรมะอันสูงส่งสูงสุด ที่ดำรงไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ที่แยบยลไปกว่านั้นก็คือ คำว่าอนุตตรนี้สามารถเขียนได้ 2 แบบ คือ อนุตร กับ อนุตตร ที่มี ต ตัวเดียวเป็นการเขียนแบบภาษาบาลี ส่วนที่มี ต สองตัวนั้นเป็นการเขียนแบบสันสกฤต เหตุใดพระอาจารย์จี้กงจึงให้โอวาทคำว่าเทียนเต้านี้เป็นภาษาสันสกฤต เพราะในครั้งที่พระองค์บำเพ็ญในอวตารภาคของพระอรหันต์จี้กงในสมัยราชวงศ์ ซ้องนั้น ทรงบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แต่ทางจีนซึ่งเป็นพุทธแบบมหายานนั้น ใช้ภาษาสันสกฤต ด้วยเหตุนี้ในครั้งที่พระองค์ทรงประทับญาณครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระพุทธเดินดินจี้กงจริง จึงให้โอวาทซ้อนเป็นภาษาสันสกฤต โดยที่ร่างนั้นไม่รู้ภาษาไทยเลย แล้วนับประสาอะไรกับภาษาสันสกฤต นี่จึงเป็นความแยบยลของธรรมะที่เราได้รับ เป็นการยืนยันว่า ธรรมะที่เราได้รับและบำเพ็ญกันอยู่นี้ เป็นธรรมะจริงมีพระโองการสวรรค์จริง มีพงศาธรรมจริง
จากรับธรรมถึงการสำเร็จธรรมนั้น มีลำดับหรือขั้นตอนที่เราจะต้องผ่าน ซึ่งไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยง เพราะหากไม่ผ่านขั้นตอนเหล่านี้ก็ยากที่จะสำเร็จธรรมได้ ขั้นตอนที่ว่านั้นก็คือ ศึกษาธรรม บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คือเนื้อหาสาระที่เราจะร่วมกันวิเคราะห์ศึกษากันในวันนี้

ขั้นตอนการบำเพ็ญนั้นมีลำดับที่แน่นอน หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า บันใดแห่งการบรรลุสู่พระพุทธะ ขั้นตอนที่ว่าก็คือ รับธรรมะ ศึกษาธรรม บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม สำเร็จธรรม 5 ขั้นด้วยกัน เรามาศึกษากันในหัวข้อที่หนึ่ง

1. รับธรรม
รับธรรมคืออะไร ? รับธรรมก็คือการรับรู้หนทาง รับรู้ที่สถิตจิตญาณ รู้ทางมาทางไปของตนเอง คือจุดที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมชี้ชัดลงไปที่ใบหน้าของเรา พิธีนั้นเรียกว่าพิธีรับธรรม
ทำไมเราต้องรับธรรม ? ในเมื่อจิตญาณก็คงอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว! จะบอกว่ารับก็ไม่ถูก ที่จริงคือการมาฟื้นฟูสิ่งที่เรามีอยู่แต่ไม่รู้ว่ามีมากกว่า ถามทุกท่านว่า ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าในตัวของเรามีจิตวิญญาณสถิตอยู่ ? รู้! แต่รู้หรือไม่ว่าอยู่ตรงไหน ? ไม่รู้! ด้วยเหตุที่ไม่รู้เราจึงต้องรับธรรม ดังนั้น ถ้าถามว่าทำไมต้องรับธรรม ก็พอที่จะอธิบายได้อย่างนี้ว่า

ก. เพราะหลงลืมหน้าที่
ที่มนุษย์มีเภทภัยความทุกข์ความกลัดกลุ้ม ก็เพราะมีกายสังขาร การที่วุ่นวายอยู่กับการเสาะหาความสุขทางกาย จึงก่อให้เกิดจิตฟุ้งเฟ้อ จิตคิดเล็กคิดน้อย จิตอาฆาตพยาบาท สิ่งเหล่านี้คือพิษภัยที่ฝังอยู่ในกายในจิตเรา
ด้วยเหตุแห่งอวิชชาความมืดบอดเหล่านี้ ทำให้จิตญาณมัวหมอง ก่อบาปสร้างเวรโดยไม่มีที่สิ้นสุด จึงเป็นที่มาของการเวียนว่ายที่ไร้ขอบเขต สาเหตุก็เพราะเราหลงลืมรากฐานเดิมแท้แห่งตนนั่นเอง ดังประโยคแรกของคัมภีร์ซันจื้อจิงได้กล่าวไว้ว่า “เหรินจือชู ซิ่งเปิ่นซั่น : จิตมนุษย์แรกเริ่มนั้นดีงาม” เมื่อ มัวเมาอยู่กับการแสวงหาวัตถุชื่อเสียงมาปรนเปรอกายเนื้อ ยิ่งมาธรรมะก็ยิ่งห่างจากตัวเรา ทั้ง ๆ ที่จิตของเรามาจากฟ้าเบื้องบน ดังคัมภีร์ทางสายกลาง (จงยง) ได้กล่าวไว้ว่า “เทียนมิ่งจือเว้ยซิ่ง : สิ่งที่ฟ้าประทานให้เรียกว่าธรรมญาณ” ดังนั้น หน้าที่ของมนุษย์ผู้มีใจสูงนั้นก็คือการทำความดี อย่าได้เอาแต่เสพสุขอยู่ในวัตถุชื่อเสียง เพราะสิ่งเหล่านี้ สุดท้ายก็เอาติดตัวไปไม่ได้

ข. เพื่อแสวงหารากฐานของชีวิต
สรรพสิ่งล้วนมีที่มาที่ไป มนุษย์ก็มีที่มา แล้วที่มาของชีวิตอยู่ที่ไหน ? การที่เราทุกคนทุ่มสุดชีวิตเพื่อแสวงหาชื่อเสียงเงินทอง สิ่งเหล่านี้คือรากฐานของชีวิตใช่หรือไม่ ? แต่การรับธรรมะในวันนี้ คือการมารับรู้ที่มาของจิต ว่าจิตสถิตอยู่ตรงไหนในร่างกายเรา และสุดท้ายเราจะกลับคืนสู่ที่ใด! ได้รู้ต้นธาตุต้นธรรมแห่งตน

ค. เพื่อค้นหานายของชีวิต
เพราะเราหลงลืมหน้าที่ เราไม่รู้รากฐานของชีวิต เราจึงไม่สามารถเป็นนายของชีวิตเราได้ วันนี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมได้ชี้ตรงลงจิตให้เราได้พบจิตธรรมแห่งตน จากนี้จงใช้จิตแห่งธรรมนี้ควบคุมจิตอันตราย เช่นนี้จึงเป็นได้ดั่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมเราจึงต้องรับธรรม !

2.ศึกษาธรรม

การ ศึกษาธรรมก็คือการทำความเข้าใจว่า หลังจากที่เราได้รับธรรมะแล้ว ธรรมะคืออะไร? มีความสูงส่งแยบยลอย่างไร? เมื่อเข้าใจในคุณวิเศษของธรรมะแล้ว เราอยากบำเพ็ญปฏิบัติเราจะเริ่มต้นจากตรงไหน? มีวิธีใดบ้างที่เราควรที่จะทำความเข้าใจ เรียนรู้ ศึกษา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหากเราจะบำเพ็ญและปฏิบัติธรรม

ก. จุดหมายของการศึกษาธรรมะ
1. เพื่อความกระจ่างต่อหลักสัจธรรม
2. เพื่อเป็นแนวทางในการบำเพ็ญปฏิบัติ
3. เพื่อทัศนะธรรมที่ถูกต้องและเที่ยงตรง

ข. วิธีการศึกษาธรรมะ
1. เข้าร่วมชั้นศึกษาธรรมต่างของอาณาจักรธรรม
2. ใกล้ชิดนักธรรมอาวุโสผู้มีคุณธรรม “นกบินตามหงส์บินได้ไกล คนใกล้ชิดอริยะเจ้าคุณธรรมจะ สูงส่ง”
3. แลกเปลี่ยนวิเคราะห์ร่วมกันกับเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญ
4. ศึกษาจากสื่อธรรมะ เช่น หนังสือธรรมะ เทปธรรมะ ซีดีธรรมะ ฯลฯ
5. จากประสบการณ์การบำเพ็ญของตน

3. จะสร้างบุญกำหนดคุณธรรมได้อย่างไร ?
คำ โบราณจีนกล่าวว่า “ในโลกนี้ไม่มีพระอริยะองค์ใดที่ไม่ซื่อสัตย์กตัญญู บนสวรรก็ปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้บุญกุศล” หากบุญบารมีมาก ย่อมสลายหนี้เวรกรรม รอดพ้นจากมหันตภัย มรรคผลสูงส่ง ดังนั้น นอกจากจะบำเพ็ญ
อริย ภาพภายในอันหมายถึงคุณธรรมภายในให้ดีเยี่ยมแล้ว ยังต้องเพิ่มในการสร้างกุศลกรรมภายนอกที่เรียกว่ายังประโยชน์ให้แก่ชาวโลก อีกด้วย การสร้างบุญบารมีไม่ใช่เรื่องยาก ในที่นี้จึงขอยกตัวอย่างแบบพอสังเขปดังนี้

3.1 ช่วยหนุนนำงานของสถานธรรม
สถาน ธรรมคือสถานที่ฝึกฝนเรียนรู้ธรรมของเวไนย จึงต้องมีบุคลากรเข้ามาช่วยกันปกป้อง ซึ่งให้เป็นไปตามกำลังก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดสถานที่ โต๊ะพระ ดูแลต้อนรับญาติธรรม จัดเตรียมอาหารเครื่องดื่ม งานในส่วนของเอกสาร การจราจร เหล่านี้คือการสนับสนุนการเผยแผ่ประกาศธรรม บุญกุศลประมาณไม่ได้

3.2 ฉุดช่วยญาติมิตร
ใน พุทธคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า “ฉุดช่วยคนหนึ่งชีวิต บุญสูงกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น” การที่เรานำพาคนให้มารับธรรมะได้นั้น ไม่เพียงแค่ฉุดช่วยกายสังขารของเขาเท่านั้น ส่วนที่สำคัญก็คือการได้ฉุดช่วยให้จิตญาณของเขาหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตาย เกิด พ้นจากมหันตภัย รวมทั้งบรรพชนลูกหลานของเขายังได้พึ่งใบบุญ ดังนั้น บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการนำพาคนมารับธรรมะ จึงเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ หากทุกท่านรู้ถึงความสูงส่งล้ำค่าในการฉุดช่วยคนแล้ว ก็จงอย่าได้ลืมที่จะฉุดช่วยนำพาคนรอบข้างให้ได้มารับธรรม
3.3 ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ
การ สนับสนุนทุนร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศเผยแผ่หลักสัจธรรม เพราะหนังสือธรรมะสามารถเสริมสร้างจิตศรัทธา เป็นแนวทางให้คนอ่านได้รับรู้หนทางแห่งการพ้นทุกข์ การบำเพ็ญปฏิบัติ ช่วยเสริมสร้างสังคมให้เกิดคนดี ดังนั้น
จึงเป็นบุญใหญ่ ดังคำกล่าวที่ว่า “ชาติหนึ่งเตือนผู้คนด้วยวาจา ร้อยชาติไว้ตำราเตือนผู้คน”

3.4 ร่วมสนับสนุนงานสังคมสงเคราะห์
ผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม นอกจากหนุนนำงานแห่งพระพุทธะแล้ว ยังต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยสังคม จึงต้องคอยสนับสนุนตามกำลังความสามารถ

สรุป
“สกุณาจากรังยังรู้คืนคอน ดอกไม้เหี่ยวเฉายังมีวันฟื้น”

ท่าน ทั้งหลาย เหตุใดกาลเวลาเมื่อผ่านพ้นไปแล้ว จึงกลับคืนมาไม่ได้ เช่นเดียวกับชีวิตคนเรา ไม่อาจย้อนคืนกลับไปสู่อดีตได้ ชีวิตคนเราหมดไปพร้อมกับเวลาที่หมดไปเช่นกัน นักธรรมอาวุโสทั้งหลาย ในขณะที่ทุกท่านกำลังคิดถึงกิจงานการค้าขาย เรื่องปากเรื่องท้องนั้น อย่าได้ลืมที่จะเตรียมเสบียงไว้ให้กับจิตญาณบ้าง อย่ารอจนถึงวันที่จะกล่าวคำอำลาจากโลก ถึงมารู้สึกตัวว่าสิ่งที่เราแสวงหามาทั้งชีวิตสุดท้ายคือความว่างเปล่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะสายเกินไป นักธรรมอาวุโสทุกท่าน จงถนอมบุญที่มีโอกาสได้รับธรรม และขออวยพรให้ทุกท่านมีวาสนาสำเร็จธรรมได้ในอนาคต


3.บำเพ็ญธรรม
จิต ธรรมญาณอันบริสุทธิ์ หลังจากตกลงสู่โลก ก็แปดเปื้อนด้วยละอองโลกีย์ ไม่ว่าจะหลงอยู่ในวัตถุชื่อเสียงอันจอมปลอม จากสภาพแวดล้อมบีบคั้น ได้ลืมโฉมหน้าเดิมแท้แห่งตน ลืมหนทางกลับบ้านเดิม หลังจากได้รับการเบิกญาณทวาร หนึ่งจุดชี้ธรรมแล้ว แม้จะรู้หนทางแห่งการกลับคืนบ้านเดิม แต่ด้วยสิ่งสกปรกที่ติดอยู่มากมายเกินไป จึงทำให้กลับคืนเบื้องบนไม่ได้ จึงต้องอาศัยการบำเพ็ญ คือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้ธรรมญาณนั้นกลมใสสมบูรณ์ดังเดิม เช่นนี้จึงมีคุณสมบัติกลับคืนได้ ดังคัมภีร์อมตะพุทธะจี้กง (濟公活佛救世真經) ได้กล่าวเอาไว้ว่า"古今誰無錯 過勿憚改入善科 科程過後苦海逃" (กู่จินเสยอู๋ชั่ว ชั่วอู้ตั้นไก่รู้ซั่นเคอ เคอเฉิงกั้วโฮ่วขู๋ไห่เถา) : จากอดีตจวบปัจจุบันใครเล่าไร้ความผิดบาป ผิดแล้วจงแก้ไขเข้าสู่กระบวนการแห่งความดีงาม เมื่อผ่านกระบวนการจึงล่วงพ้นทะเลทุกข์” อีกนัยหนึ่งก็คือการบำเพ็ญอริยภาพภายใน
พระอาจารย์ชายตรัสไว้ว่า
“ไม่กระจ่างในพระโองการแห่งอาจารย์ ปฏิบัติธรรมไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่บ่มเพาะคุณธรรมภายใน สร้างบุญไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่กระจ่างในจิตญาณตน นั่งฌานไปก็ไร้ประโยชน์”
ดังนั้น การบำเพ็ญจึงไม่ใช่เพียงแค่การสร้างบุญภายนอกเท่านั้น การบ่มเพาะคุณธรรมภายในก็ต้องสั่งสมด้วยเช่นกัน

ก. จุดหมายของการบำเพ็ญ
1. แจ้งจิตกระจ่างธรรมญาณ คืนสู่รากฐานที่มา
2. บ่มเพาะคุณธรรม กำหนดตนเป็นแบบอย่างงดงาม
3. บริสุทธิ์ในกรรมทั้งสาม ไม่ก่อบาปสร้างเวร (กรรมสาม คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)
4. ธรรมะอยู่ในตน สร้างตนแล้วสร้างคน

ข. วิธีการบำเพ็ญ
1. ใช้ใจธรรมนำใจอันตราย (ใจคน และ ใจเลือดใจเนื้อ)
2. หมั่นย้อนมองส่องตน หมั่นพิจารณาตนเอง ว่ามีความผิดบาปทางกาย วาจา ใจหรือไม่ หากมีให้ลงมือแก้ไข มิให้ผิดซ้ำสอง
3. ชำระล้างจิตใจไม่ให้วิตกมัวหมอง ขจัดจิตโลภ เพ้อฝัน ตัณหา ความอยาก
4. สำรวมรักษาคุณธรรมความดีงาม
5. สำนึกขอขมา กราบพระโปรดนิรโทษกรรม

ขั้นตอนการบำเพ็ญ 修道的步驟 NO.4

4.ปฏิบัติธรรม
ใน คัมภีร์วิสุทธิสูตร (ชิงจิ้งจิง) ได้บันทึกไว้ว่า “แม้ชื่อว่าได้รับธรรม แท้จริงมิได้รับ หากกล่อมเกลาเวไนย จึงกล่าวว่าได้รับ” แม้ว่าเราทุกคนจะได้รับธรรมะแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วจะว่าได้รับก็ไม่ถูก เพราะจิตญาณเดิมทีเราทุกคนต่างก็มีอยู่ แท้จริงแล้วคือการฟื้นฟูดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น หลังจากที่ได้รับธรรมะแล้ว นอกจากการบำเพ็ญบ่มเพาะคุณธรรมภายในแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การฉุดช่วยกล่อมเกลาเวไนย เช่นนี้จึงเรียกได้ว่าได้รับธรรมอย่างแท้จริง การฉุดช่วยกล่อมเกลาเวไนย ก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
ดังคำกล่าว ที่ว่า“ในโลกนี้ไม่มีพระอริยะท่านใดที่ไม่ซื่อสัตย์กตัญญู บนสวรรค์ก็ปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้บุญกุศล” อีกประโยคกล่าวว่า “มีบุญแต่ไร้กุศลจะกลายเป็นมาร มีกุศลแต่ไร้บุญยากสำเร็จธรรม”

ก.จุดหมายของการปฏิบัติธรรม
1.เพื่อทดแทนพระคุณฟ้าบารมีอาจารย์
2.สืบสานปณิธานของพระบรรพจารย์ในการโปรดสามโลก
3.แบกรับอริยกิจ บรรลุภาระหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์
4.ตั้งปณิธานชำระปณิธาน ปณิธานชำระกลับคืนสู่บ้านเดิม
5.ชดใช้หนี้บาป ชำระเวรกรรม
6.กอบกู้ภัยพิบัติ เพื่อโลกสันติสุข

ข.วิธีการปฏิบัติธรรม
1.บุกเบิกเผยแผ่ธรรมะ นั่นคือการฉุดช่วยให้คนบุญได้รับธรรม
2.สละทานทั้งสาม ทรัพย์เป็นทาน วิทยาธรรมเป็นทาน แรงกายเป็นทาน
3.สืบสานชีพจรธรรม บ่มเพาะบุคลากรให้เกิดขึ้นในอาณาจักรธรรม
4.กล้าหาญชาญชัย ต้องมีจิตไม่กลัวในสามเรื่องดังต่อไปนี้
ก.ไม่กลัวความทุกข์
ข.ไม่กลัวความยากลำบาก
ค.ไม่กลัวคำติฉินนินทา
5.อุทิศกายถวายชีวิต แม้พลีชีพก็ยินยอม

No comments:

Post a Comment