ที่จริงแล้ว หลักการของไอน์สไตน์ในเรื่อง มวลกับพลังงาน ก็สามารถนำมาพูดเทียบเคียงกับสมการดังกล่าวข้างต้น ปัญญาชนทุกคนล้วนรู้จัก e=mc2 ซึ่งเป็นสูตรที่นำมาสร้างระเบิดปรมณู ดิฉันดูสารคดีที่อังกฤษเกี่ยวกับสมการนี้ของไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษท่านหนึ่งพูดว่า ไอน์สไตน์เป็นคนแรกที่พูดออกมาอย่างชัดเจนว่า พลังงาน หรือ e (energy) กับมวล หรือ m (mass) เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ต่างรูปแบบเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าเราไม่พูดเรื่องการสร้างพลังงานนิวเคลียร์อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ และเลือกพูดแต่ความคิดหลัก ๆ ของไอน์สไตน์ที่สามารถประสานกับความรู้ของพระพุทธเจ้าได้แล้วละก็ เราสามารถเอาความเร็วของแสงยกกำลังสอง หรือ c2 ออกไป สมการที่เหลือจึงได้
e=m
energy = mass
พลังงาน = มวล
นาม = รูป
ความคิด ความจำ ความรู้สึก = ภาพ (รูป) เสียง กลิ่น รส สัมผัส
นามธรรม = รูปธรรม
โลกภายใน = โลกภายนอก
ฉะนั้น คุณจะเห็นว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้อธิบายนั้นเป็นเรื่องเดียวกับที่ไอน์สไตน์ค้นพบภายหลังพระพุทธเจ้าถึง ๒๕๐๐ กว่าปี นั่นคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็คือ มวล ที่มีค่าเหมือนกับความคิด ความจำ ความรู้สึก อันเป็นส่วนของพลังงาน คำว่า รูป ที่เขียนคู่กับ นาม ของพระพุทธเจ้านั้น ต่างจากความหมายของ รูป อันเป็นสิ่งที่เห็นได้ทางตา หรือ ภาพ “รูป” คำใหญ่ที่เขียนคู่กับ “นาม” นั้น มีความหมายกว้างมาก ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ มีความหมายเหมือนกับคำว่า “ธรรม” แต่เป็นทุกอย่างของโลกภายนอกในเชิงกายภาพ จึงมีคำใช้ที่เหมาะเจาะว่า “รูปธรรม” คือทุกสิ่งทุกอย่างในฝ่ายกายภาพหรือฝ่ายรูป ฉะนั้น ถ้าจะกระจายคำว่า รูป ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเป็น ภาพ (รูป) เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งตรงกับสมการด้านบนที่เขียนไปแล้ว เมื่อ “รูปธรรม” เหล่านี้เข้าไปในใจของเราแล้ว ก็กลายเป็นธรรมชาติฝ่ายนามของโลกภายใน หรือ “นามธรรม” คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในส่วนที่จับต้องไม่ได้ ที่มีอยู่ในรูปกายของเรา ก็จะแยกรายละเอียดออกมาเป็น ความคิด ความจำ ความรู้สึก ดังสมการด้านบน เช่นกัน
คู่สร้างคู่สม
ฉะนั้น หาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นตัวที่ถูกรับรู้โดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วละก็ ความคิด ความจำ ความรู้สึก จำเป็นต้องเป็นตัวที่ถูกรับรู้โดยอีกอายตนะหนึ่งที่เป็นคู่ของมันเท่านั้น เหมือนเสียงจะไปเดินผ่านสะพานตาหรือจมูกไม่ได้ เสียงต้องเดินเข้าสะพานหูเท่านั้น รสต้องเดินเข้าสะพานลิ้นเท่านั้น คู่ของใครก็คู่ของมัน เป็นคู่สร้างคู่สมที่จะสลับคู่กันไม่ได้ มันไม่เข้าร่องของมัน ฉะนั้น ความคิด ความจำ กับความรู้สึกจะถูกรับรู้โดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ มันต้องมีอีกสะพานหนึ่งที่จะจับคู่กับความคิด ความจำ ความรู้สึก หรือ ต้องมีอีกอายตนะหนึ่งที่สามารถรับรู้ความคิด ความจำ ความรู้สึก ซึ่งอายตนะนี้มีอยู่กับมนุษย์แล้วโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องของส่วนเกินที่จะเอามาเสริมแต่งเข้าไป
อายตนะที่ ๖[3]
นี่เป็นข้อเท็จจริง fact ที่พระพุทธเจ้ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านจึงเป็นมนุษย์คนแรกของโลกที่กล้ายืนขึ้นมาบอกว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอายตนะ ๖ ทาง ไม่ใช่ ๕ ทาง นี่เป็นความคิดที่ท้าทายมาก เพราะสังคมอินเดียยุคนั้นเต็มไปด้วยนักปราชญ์ พระพุทธเจ้ากล้ายืนขึ้นมาพูดต่างจากคนอื่น แม้ในยุคนี้ก็ยังเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อย อาจจะมากขึ้นด้วยเพราะยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นระบบ
อย่าง ไรก็ตาม อายตนะที่ ๖ นี้คือ วิญญาณขันธ์นั่นเอง ความรู้สึกตัว หรือ วิญญาณขันธ์นี้เป็นอายตนะที่ ๖ อันเป็นสะพานรับรู้ความคิด (สังขาร) ความจำ (สัญญา) กับความรู้สึก (เวทนา) วิญญาณขันธ์จึงเป็นส่วนของใจ ที่เป็นฝ่ายนาม ในขณะที่ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นส่วนของจิต ซึ่งก็เป็นฝ่ายนามเช่นกัน คุณจะเห็นชัดขึ้นเมื่อเขียนเป็นสมการโดยใช้ทั้งภาษาธรรมดาและภาษาบาลี ดังนี้
ความคิด ความจำ ความรู้สึก = จิต
ความรู้สึกตัว หรือ อายตนะที่ ๖ = ใจ หรือ ตัวใจ
สังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ เวทนาขันธ์ = จิต
วิญญาณขันธ์ หรืออายตนะที่ ๖ = ใจ หรือ ตัวใจ
จิตคู่กับใจ ทอมคู่กับเจอรี่
เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ สื่อสาร และใช้คำน้อยคำ ดิฉันจะรวบความคิด (สังขาร) ความจำ (สัญญา) กับความรู้สึก (เวทนา) เป็นตัวการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์ที่ชาวโลกรู้จักกันดีในนามของ หนูเจอรี่ หรือ หากเป็นคำไทยก็จะใช้คำว่า จิต ซึ่งเป็นกรรมหรือตัวถูกดู ในขณะที่ ความรู้สึกตัว หรือ วิญญาณขันธ์ เป็นแมวทอม หรือ ใจ เป็นประธาน หรือ ผู้ดู
คำว่า ใจ นี้ ดิฉันจะใช้คำว่า ตัวใจ หรือ ตาใจ แทนเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการเปรียบเทียบ จึงขอให้เข้าใจว่ามันมีความหมายเดียวกับ ความรู้สึกตัว หรือ วิญญาณขันธ์
วิญญาณ = ตัวใจ = แมวทอม = ผู้ดู เป็น ประธาน subject
เวทนา สัญญา สังขาร = จิต = หนูเจอรี่ = ผู้ถูกดู เป็น กรรม object
ฉะนั้น คุณจะเห็นได้ว่า สภาวะฝ่ายนามของมนุษย์ที่เรียกว่า จิตใจ นั้น มีส่วนที่เป็นทั้งอายตนะภายนอกและอายตนะภายในปะปนกันอยู่ หรือ ฝ่ายผู้รับรู้ (ตัวใจ) ปนอยู่กับสิ่งที่ถูกรับรู้ (จิต) หรือ ตัวประธาน subject ปนอยู่กับตัวกรรม object หรือจะสร้างภาพของทอมกับเจอรี่กำลังนั่งนอนกอดคอกันอยู่ก็ได้ ทั้งผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ หรือ จิตกับใจ หรือ ทอมกับเจอรี่ ล้วนเป็นนามหรือฝ่ายพลังงานที่ติดอยู่ในร่างกายที่มืดทึบนี้ด้วย ตรงนี้แหละ ที่ทำให้การเรียนรู้เรื่องจิตใจเป็นเรื่องยากมากที่สุด เมื่อไม่มีการเรียนรู้อย่างถูกต้อง อย่างถูกวิธีของมันแล้ว เราจึงเข้าใจมันไม่ได้ เมื่อเข้าใจเรื่องของจิตใจไม่ได้แล้ว คุณจึงไม่สามารถรู้ได้ว่า การเป็นตัวของตัวเอง หรือ เป็นตัวจริง ๆ ของเรานั้น เป็นได้อย่างไร ต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าถึง “ตัวจริง ๆ” ของเรา
ต้องอาศัยทอมเพื่อรู้จักเจอรี่
ฉะนั้น คุณจะเห็นได้ไม่ยากว่า การเป็นตัวของตัวเอง หรือ เป็นตัวจริง ๆ ของเรานั้น เป็นเรื่องของจิต เป็นธรรมชาติของเจอรี่ที่เราต้องทำความเข้าใจมันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ความคิดไหน ความทรงจำชนิดไหน ความรู้สึกไหน และความเชื่อไหนที่เราควรตรึงมันไว้เพื่อความเป็นตัวของตัวเอง และคงความเป็นตัวจริง ๆ ของเรา
การเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ก็คือ การเฝ้ามอง การสังเกตการณ์ ที่ฝรั่งเรียกว่า making observations เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ปัญญาชนทั่วโลกต้องใช้หากเขาต้องการเรียนรู้ปรากฏการณ์อะไรสักอย่าง ฉะนั้น การสังเกตปรากฏการณ์ภายนอกกายที่เกี่ยวข้องกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วละก็ นักวิทยาศาสตร์จะต้องใช้เครื่องมือพื้นฐานอันคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อเฝ้ามองและสังเกตการณ์ปรากฏการณ์นั้น ๆ อย่างซ้ำซาก บางครั้งต้องเฝ้ามอง ทดลองไปมาอยู่เช่นนั้นนานหลายปี จึงสามารถสรุปผลการวิจัยออกมาเป็นความรู้ knowledge เป็นข้อเท็จจริง fact ที่เป็นเรื่องเป็นราวจนปัญญาชนทั่วโลกยอมรับได้อย่างไม่มีข้อสงสัย ดังที่ไอน์สไตน์บอกว่า
แหล่งความรู้ที่แท้จริงคือประสบการณ์
Experience is the source of knowledge.
ประสบการณ์ experience ก็คือ การที่อายตนะภายนอกกับภายในได้พบกันจริง ๆ หรือ ตาได้เห็นรูปจริง ๆ หูได้ยินเสียงจริง ๆ จมูกได้กลิ่นจริง ๆ เป็นต้น การสังเกตการณ์เช่นนี้เท่านั้นจึงจะเกิดประสบการณ์อันเป็นแหล่งหรือต้นตอของ ความรู้ทั้งหลายได้
ฉะนั้น การจะเข้าใจปรากฏการณ์ของจิตได้ เราจำเป็นต้องใช้เครื่องมือพื้นฐานอันคือ ใจ เป็นผู้มอง หรือ เป็นผู้ดู เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนมากขึ้น เหมือน “ตัวกาย” ที่มี “ตากาย หรือ ตาเนื้อ” ดิฉันจะเรียกวิญญาณขันธ์ว่าเป็น “ตัวใจ” ที่มี “ตาใจ” แทนที่จะใช้คำว่า “ใจ” เฉย ๆ เพื่อจะได้สอดคล้องกับคำว่า “มอง” และ “ดู” การที่จะมองหรือดูอะไรได้ ต้องใช้ตามอง การเฝ้าสังเกตดูความคิด ความจำ ความรู้สึก หรือ จิต นี้ ก็ไม่ต่างจากการใช้ตาเนื้อดูรูป และดูสิ่งของต่าง ๆ จิตก็คือ สิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นฝ่ายนาม (ไม่มีรูปร่าง) ฉะนั้น เมื่อใส่คำ “ตา” ไว้ข้างหน้าคำ “ใจ” เป็น “ตาใจ” แล้วละก็ จะเกิดสภาวะที่ชัดเจนว่า ทุกคนล้วนมีอายตนะที่ ๖ อันคือ “ตาใจ” ซึ่งมีไว้เพื่อดู “จิต” (ความคิด ความรู้สึก)
ถ้าใช้ภาษาของทอมกับเจอรี่ก็คือ ต้องใช้แมวทอมเป็นตัวสังเกตการณ์และเรียนรู้การทำงานของหนูเจอรี่นั่นเอง
เมื่อนำอายตนะภายในและภายนอกทั้ง ๖ มาเขียนรวมกันแล้วก็จะได้เช่นนี้คือ
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก
Sense sense objects
ตาเนื้อ สังเกต รูป เป็น มวล ฝ่าย รูป
หู “ เสียง เป็น มวล ฝ่าย รูป
จมูก “ กลิ่น เป็น มวล ฝ่าย รูป
ลิ้น “ รส เป็น มวล ฝ่าย รูป
ผิวหนัง “ ความรู้สึก เป็น มวล ฝ่าย รูป
ตาใจ “ จิต เป็น พลังงาน ฝ่าย นาม
ทำไมฝรั่งจึงสรุปว่า “จิตใจ” อยู่ที่สมอง
ทีนี้ เราก็มาถึงจุดที่ปัญญาชนฝรั่งต้องเข่าอ่อนไปตาม ๆ กันแล้ว เพราะเมื่อคุณดูไปที่ ๕ คู่แรกของการหาความรู้นั้น ปัญญาชนฝรั่งสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะมันไม่ซับซ้อน แต่พอมาถึงคู่ที่ ๖ ที่ต้องใช้ ตาใจ ดูปรากฏการณ์ของจิต หรือ ใช้ตาใจดูการทำงานของความคิด ความจำ ความรู้สึก แล้วละก็ ความซับซ้อนจึงเกิด ปัญญาชนฝรั่งไปต่อไม่ได้ เพราะ ทั้งตาใจและจิตล้วนเป็นนามธรรมที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ทั้งคู่ เพราะอยู่ภายในร่างกายของเรา
เมื่อขาด “ตาใจ” ที่เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อการเรียนรู้ปรากฏการณ์ของ “จิต” แล้ว เขาจึงต้องกวาดเอาส่้วนเกินเหล่านั้น (ความคิด ความจำ ความรู้สึก) ไปอัดลงในสมองซึ่งเป็นส่วนของรูป เพื่อว่าเขาจะได้ใช้ “ตาเนื้อ” ดูปรากฏการณ์ของสมองได้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เขาบูชา นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังบทสรุปที่ว่า ทำไมฝรั่งจึงเข้าใจว่า เรื่องจิตใจ หรือ mind อยู่ที่สมอง
เมื่อปัญญาชนฝรั่งหาความรู้เรื่องจิตใจชนิดจับแพะชนแกะเช่นนี้ การแก้ปัญหาจิตใจเหล่านี้จึงต้องหันกลับมาแก้ปัญหาที่สมอง และมาลงเอยที่ยากล่อมประสาท ปัญหาจึงเริ่มวน
จะให้ถูกทั้งสองฝ่ายไม่ได้
เมื่อปัญญาชนชาวตะวันตกไม่ได้เห็นว่ามนุษย์มี ๖ อายตนะเหมือนที่พระพุทธเจ้าเห็น การเรียนรู้เรื่องราวของมนุษย์และของโลก ของจักรวาลที่เราอยู่นั้น จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์มี ๕ อายตนะเท่านั้น ซึ่งจะให้ถูกทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ได้
ดิฉันนั้นเลือกเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีข้อสงสัยแน่นอน และโดยเหตุผลที่พูดมาทั้งหมด มุมมองของพระพุทธเจ้ามีเหตุผลมากกว่าและพูดลงตัวได้อย่างพอดิบพอดี ไม่ขาด ไม่เกิน ในขณะที่มุมมองของปัญญาชนฝรั่งที่เห็นมนุษย์มี ๕ อายตนะนั้น ไม่สามารถหาเหตุผลมาพูดให้ลงตัวได้ หากไม่พูดขัดแย้งกันเองละก็ ยังมีแต่เรื่องขาด ๆ เกิน ๆ ส่วนเกินคือ ความคิด ความจำ กับ ความรู้สึก ส่วนขาดก็คือ อายตนะที่ ๖ หรือ ตัวใจ ตาใจ
และถ้าระบบการศึกษาของฝรั่งหรือของโลกไม่ยอมรับเรื่องอายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ แล้ว เขาจะเริ่มขบวนการเรียนรู้เพื่อหาประสบการณ์ภายในจิตใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร เมื่อไม่มีประสบการณ์ก็ไม่มีความรู้ที่แน่นอน ที่พึ่งพาได้ ปัญหาจึงเริ่มวน
ต้องฟังผู้รู้จริงตามพระพุทธเจ้า
การรู้ว่ามนุษย์มีประสาทรับสัมผัสได้ ๖ ทางย่อมได้เปรียบกว่าการรู้ว่ารับได้เพียง ๕ ทางเท่านั้น เพราะประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ทั้ง ๖ ทางย่อมกว้างขวางมากกว่าประสบการณ์ที่หาได้จาก ๕ ทางอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้แน่นอน
ขอให้นึกถึงคนตาบอดหนึ่งคน ประสบการณ์ในเรื่องรูป แสง สี ขนาด รูปทรง ฯลฯ ของคนตาบอดนั้นจะดับมืดลงทันที ซึ่งเป็นการสูญเสียอย่างมหันต์แม้ของคนเพียงคนเดียว ฉะนั้น คุณลองหลับตาและคำนวณดูเอาเองว่า มนุษยชาติได้สูญเสียประสบการณ์และความรู้ต่าง ๆ ที่สามารถรับได้จากการใช้อายตนะที่ ๖ หรือ ตาใจ ไปมากมายมหาศาลสักเพียงใด คงจะหาภาษามนุษย์มาบรรยายความเสียหายอย่างมหันต์นี้ไม่ได้แน่นอน แม้กระนั้น ความรู้เรื่องอายตนะที่ ๖ ในทุกวันนี้ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับอย่างออกหน้าออกตาของชาวโลก ชาวพุทธเองก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่อง ตาใจ ได้อย่างถ่องแท้
เรื่องอายตนะเกี่ยวข้องกับพระนิพพานโดยตรง
เมื่อตาใจถูกปิด มนุษย์จึงขาดประสบการณ์ทั้งหมดที่ตาใจสามารถพาไปถึง การเรียนรู้ธรรมของชาวพุทธจึงมักเน้นเรื่อง อายตนะภายนอกกับภายในเสมอ เพราะนี่เป็นเนื้อหาสำคัญของการหาความรู้หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเราผู้เป็นส่วนหนึ่งของโลกและจักรวาล หรือหาตัวจริง ๆ ของเรานี่เอง แต่เมื่อการอธิบายยังไม่ชัดเจน แม้ชาวพุทธส่วนมากก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าทำไมจึงต้องมาเรียนรู้เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ซึ่งชาวพุทธฟังจนชินหู จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่น่าจะมีอะไรลึกซึ้ง ที่จริง เรื่องแสนจะธรรมดาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพระนิพพานและการแสวงหา “ตัวจริง ๆ ของเรา” โดยตรง เพราะพระนิพพานหรือตัวจริง ๆ ของเราเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เห็นได้ด้วย “ตาใจ” หรือ อายตนะที่ ๖ เท่านั้น
ระบบการศึกษาที่มืดบอด
ระบบการศึกษาของโลกทุกวันนี้ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานที่เข้าใจว่ามนุษย์มีประสาทรับสัมผัสเพียง ๕ ทางเท่านั้น ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากประสาทรับสัมผัสทั้ง ๕ นั้น แม้จะถูกต้องอย่างไร มีประโยชน์ต่อชาวโลกมากมายเพียงใด มันก็ยังเป็นความรู้ที่เจือด้วยอวิชชา เป็นความรู้ที่มีความไม่รู้ปะปนอยู่ จึงเป็นระบบการศึกษาที่ผิดตั้งแต่แรกแล้ว
ตาใจของมนุษยชาติที่มืดบอดอย่างทั่วถึงกันหมดนี้ จึงทำให้อยู่ด้วยกันได้ พูดภาษาของคนมืดบอดที่เข้าใจซึ่งกันและกันได้ ซึ่งไม่พ้นจากเรื่องการตามใจกิเลส การมุ่งหาเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง บูชาวัตถุ ใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสาร แล้วก็ตายไปอย่างเสียชาติเกิดโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเสียชาติเกิดอย่างไร จึงเป็นเหตุผลใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ที่เริ่มจากจิตใจของคนหนึ่งคน ตลอดจนถึงปัญหาในระดับโลก เช่น สงคราม เป็นต้น
ต้องเรียนรู้โครงสร้างของชีวิต
ฉะนั้น หากใครต้องการเอาผ้าปิดตาใจออกแล้วละก็ ต้องเริ่มการเรียนรู้ชีวิตอย่างเป็นระบบเสียก่อน จุดเริ่มต้นคือ ต้องรู้จักโครงสร้างของชีวิตที่ชัดเจน ต้องรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนล้วนมีเป้าหมายอันสูงสุดทั้งสิ้น นั่นคือ การค้นพบสัจธรรมอันสูงสุด หรือ ไปให้ถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวที่จะทำให้คนเป็นสุขได้อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“สุขใดยิ่งกว่าพระนิพพานไม่มี”
คนรู้จริงจะรู้ว่า พระนิพพานไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวเลย พระนิพพานในภาษาของดิฉันคือ ผัสสะบริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้อยู่แล้ว หากยอมเรียนรู้อย่างเป็นระบบเท่านั้น
เมื่อรู้เป้าหมายปลายทางของชีวิตแล้ว ต่อไปก็ต้องรู้วิธีการเดินทางเพื่อให้ถึงเป้าหมายปลายทางนั้น การเดินทางในขั้นตอนแรกคือการรักษาศีล นั่นคือ ทุกอย่างที่ดี ๆ ทำไปให้หมด อะไรที่ไม่ดี ไม่ต้องทำ วิธีการเดินทางในขั้นตอนแรกนี้ ดิฉันได้เขียนแผนที่ให้แล้วในหนังสือเรื่อง คู่มือชีวิตภาคศีลธรรมและภาคกฎแห่งกรรม หากใครทำตามสิ่งที่ดิฉันแนะนำในหนังสือสองเล่มนี้ได้แล้ว ก็เท่ากับได้เริ่มเดินทางไปสู่เป้าหมายปลายทางของชีวิตแล้ว ไปได้ครึ่งทางแล้ว
การเดินทางในขั้นต่อไปที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตอย่างรวดเร็วนั้น ผู้เดินทางต้องฝึกทักษะทางใจ ดังที่ชาวพุทธเรียกว่า ฝึกสมาธิิวิปัสสนา หรือ ฝึกสติปัฏฐานสี่ นั่นเอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้้เรื่องจิตใจและการแสวงหาตัวจริง ๆ ของเราอย่างถูกต้องและตรงไปตรงมา
ขอให้ดูรูปโครงสร้างของชีวิต
ช่วยวาดรูปของโครงสร้างชีวิตด้วยค่ะ เอาตามที่เขียนไว้ในบทที่สี่?ของใบไม้กำมือเดียว โดยวาดรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ส่วนบนเขียน พระนิพพาน สัจธรรมอันสูงสุด ผัสสะบริสุทธิ์ และ “พบตัวจริง ๆ ของเรา” ส่วนล่างตรงกลางเขียน ปัญญา ซ้ายมือเขียน ศีล ขวามือ เขียนสมาธิ และ สติปัฏฐานสี่ค่ะ ได้แนบแผ่นภาพมาให้ด้วย
วิปัสสนา เครื่องมือแยกตัวปลอมออกจากตัวจริง
ครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาที่รู้จริงนั้นจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติกำหนดสภาวะของ “ตัวใจ” ที่มี “ตาใจ” ให้ได้เสียก่อนเป็นอันดับแรก นี่เป็นสิ่งแรกที่ดิฉันทำในงานอบรมธรรมทุกครั้ง การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเอาผ้าปิดตาใจออก หลังจากนั้น ผู้ฝึกสติปัฏฐานก็จะฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับมาสู่ฐานของสติ ซึ่งภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับบ้าน[4] อันเป็นวลีที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานเข้าใจวิธีการปฏิบัติได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะล้วนต้องเกี่ยวข้องกับสภาวะที่เป็นนามอันไม่มีรูปร่างทั้งสิ้น การใช้ภาษาร่วมสมัยตลอดจนการเปรียบเทียบกับตัวการ์ตูนเช่นทอมกับเจอรี่ของดิฉันนั้น จะสามารถทำให้แผนที่ชีวิตนี้ชัดเจนมากขึ้น
เมื่อคนฝึกสติปัฏฐานใช้ตาใจเป็นแล้ว เขาจะเข้าสู่ขบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ ใช้ตาใจเฝ้าสังเกตุการณ์การทำงานของจิต เมื่อเฝ้าดูไปนาน ๆ แล้ว ผู้ดูจะค่อย ๆ ฉลาดขึ้นและเห็นเองว่า ความคิด ความจำ ความรู้สึก (จิต หรือ เจอรี่) นี้ล้วนมีคุณลักษณะเป็นมายา ความคิดกับความรู้สึกที่เป็นมายานี้แหละที่สร้าง “ตัวปลอม” ของเราขึ้นมา ทุกครั้งที่เราติดอยู่ในความคิด เราก็ติดมายา หรือ ติดตัวปลอมของเรานี่เอง แต่เมื่อหลุดจากความคิดและความรู้สึกได้เมื่อไร ตัวปลอมของเราก็หายไป กลับมาอยู่กับ “ตัวจริง ๆ” หรือ “ตัวใจ” ของเราทันที จุดนี้เอง ผู้ปฏิบัติจะค่อย ๆ สามารถแยกแยะระหว่าง “ตัวจริง ๆ” กับ “ตัวปลอม ๆ” ของตนเองได้แล้ว
สรุปว่า ตัวปลอมคือตัวที่ถูกความคิดที่เป็นมายาปลุกปั้นขึ้นมา ซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับการรับผัสสะที่ไม่บริสุทธิ์ ส่วนตัวจริง คือ ตัวที่หลุดจากความคิด (จิต) หรือ ในขณะที่กำลังรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์นั่นเอง ดังรูปข้างล่างนี้
ตััวใจจิต --------> ตัวกาย = ผัสสะไม่บริสุทธิ์ = อยู่กับตัวปลอม = ตัวสัมพัทธ์
ตััวใจ --------> ตัวกาย = ผัสสะบริสุทธิ์ = อยู่กับตัวจริง = ตัวปกติ
ฉะนั้น การตรึงความคิดหนึ่ง ความรู้สึกหนึ่ง หรือ ความเชื่อหนึ่งใดให้อยู่กับตนเองนาน ๆ จึงเป็นเรื่องการยึดตัวปลอมของตนเอง เอาตัวปลอมเป็นที่พึ่ง จึงอยู่ไม่ทนนาน ต้องประสบกับสภาวะลมพัดลมเพเสมอ แต่หากใครฝึกทักษะเรื่องพาตัวใจกลับบ้านเก่งแล้ว จะค่อย ๆ ถูกเจอรี่หลอกน้อยลง สามารถดีดความคิดออกจากใจได้เก่งขึ้น จึงสามารถอยู่กับตัวจริง ๆ ได้นานมากขึ้น ปัญหาชีวิตจึงแก้ตกไปได้ในลักษณะเช่นนี้
สร้างตัวปลอมซ้ำสอง
หากใครยังแสวงหาตัวจริง ๆ ของตนเองไม่พบแล้วละก็ ย่อมหมายความว่าคน ๆ นั้นต้องอยู่กับตัวปลอมและเอาตัวปลอมเป็นที่พึ่งไปก่อน ความซับซ้อนของชีวิตเริ่มเกิด โดยเฉพาะสังคมในยุคนี้ อันเป็นยุคที่คนมักให้ความสำคัญกับความร่ำรวย ความมีอำนาจ และชื่อเสียง จึงก่อให้เกิดอาชีพใหม่ นั่นคือ ใครที่เกิดมีหน้าตาเหมือนกับคนมีชื่อเสียง เช่น ดาราภาพยนต์ นักร้อง นักกีฬา นักการเมือง เป็นต้น คนเหล่านี้สามารถทำงานหาเงินได้อย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยการเป็นตัว “เลียนแบบ” double ให้กับคนมีชื่อเสียงเหล่านี้ งานที่เขาต้องทำคือ ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนกับคนจริง ๆ ที่เขาต้องการเลียนแบบ เช่น หญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งมีหน้าตาเหมือนราชินีอะลิซาเบทของอังกฤษมาก นอกจากการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เหมือนของราชินี ต้องใส่มงกุฏแล้ว เธอยังต้องเลียนแบบกิริยาอาการทุกอย่างให้เหมือนราชินีอังกฤษ เช่น การเดิน การนั่ง การโบกมือให้ผู้คน การยิ้ม การพูด แม้น้ำเสียงก็ยังต้องพยายามดัดให้เหมือนราชินีตัวจริง ทุกครั้งที่เธอไปออกงานหรือแสดงตัวที่ไหนก็ตาม ซึ่งพูดง่าย ๆ ว่าไปทำงานหาเงินจากการเลียนแบบราชินีอังกฤษ แม้เธอจะไม่ได้รับการต้อนรับเหมือนอย่างราชินีอังกฤษก็ตาม แต่เธอก็เป็นจุดเด่นของงานเสมอ จะมีคนมาขอถ่ายรูปมากมาย
คุณเห็นหรือไม่ว่า หญิงคนนี้ได้สร้างตัวปลอมสองชั้นขึ้นมาแทนที่จะเป็นตัวปลอมชั้นเดียวเหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีอาชีพนี้ ตัวปลอมแรกคือ หญิงธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่ไม่ได้รู้จักตัวจริงของตนเอง ตัวปลอมที่สองคือ ทำตัวเป็นราชินีทุกอย่างทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นราชินี ซึ่งอาชีพของนักแสดงล้วนเป็นเช่นนี้ คือ อยู่กับตัวปลอมสองชั้น
ปัญหาจะน้อยลงหากนักแสดงเหล่านี้สามารถกลับไปสู่ตัวปลอมแรกของตนเองเมื่อจบการแสดง แต่ถ้าหากเขาทำไม่ได้ เพราะไปติดใจในบทบาทที่ตนเองได้สวมเข้าไป เช่น บทของราชินีอังกฤษที่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เหมือนราชินีจริง ๆ แม้ไม่ใช่เป็นมงกุฎเพชรอย่างแท้จริง แต่ก็สวยเหมือนเพชร แถมมีคนมาถ่ายรูปมากมาย ถ้าหญิงธรรมดาคนนี้เกิดไปติดใจในบทบาทปลอม ๆ เหล่านั้นแล้วไม่อยากออกมาละก็ ชีวิตของเขาจะซับซ้อนมาก และจะทุกข์มากตามไปด้วย
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไมชีวิตของดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมักมีชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลว เพราะ ชีวิตจริงของเขาไม่ได้สวยหรูและมีอำนาจมากเท่ากับบทบาทที่เขาได้สวมเข้าไปในภาพยนตร์ โดยเฉพาะนักแสดงชายที่สวมบทบาทของพระเอกที่เก่งไปเสียทุกอย่าง ซึ่งชีวิตจริง ๆ ก็ไม่ได้เก่งเช่นนั้น เพียงแต่เล่นบทบาทได้เก่งเท่านั้น หลังเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายนำเครื่องบินชนตึกเวริลด์เทรดนั้น หนังสือพิมพ์ที่อังกฤษได้ลงข่าวของพระเอกหนังที่แสดงบทบาทบู๊ สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าได้เสมอ ซึ่งมีภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่เขากอบกู้เครื่องบินจากการถูกยึดของผู้ก่อการร้าย ปรากฏว่าดาราชายคนนี้ไม่กล้าขึ้นเครื่องบินเลยในช่วงนั้น เพราะกลัวมาก
คุณจึงเห็นได้ว่า วิถีชีวิตที่ซับซ้อนเหล่านี้ล้วนเป็นผลของการไม่รู้จักตัวจริง ๆ ของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายมาก เป็นต้นตอของปัญหาสังคมมากมาย
ตัวจริง ๆ ของเรามีอยู่
สิ่งที่หญิงชาวอังกฤษวัย ๔๐ พูดนั้นไม่ผิด ดังที่เธอบอกว่า
ทุกครั้งที่ดิฉันเห็นตัวเองในกระจก ดิฉันยอมรับกับตัวเองได้ยากมากว่าใบหน้าที่เหี่ยวย่นในกระจกนี้คือตัวดิฉัน เพราะดิฉันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนนั้นเลย คนนั้นไม่ใช่เป็นตัวจริงของดิฉัน ในหัวใจของดิฉันนั้น รู้สึกเป็นอีกคนหนึ่งที่หน้าตาไม่เหมือนหญิงคนที่ดิฉันเห็นในกระจกเลย
ประโยคสุดท้ายที่เธอพูดนั้นถูกเผ๋งทีเดียว เธอรู้สึกเป็นอีกคนหนึ่งที่หน้าตาไม่เหมือนหญิงคนที่เธอเห็นในกระจก ความรู้สึกที่เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอพูดถึงนั้น ที่จริงแล้ว เธอกำลังพูดถึง ตัวใจ ในส่วนที่เป็นนามธรรมของเธอนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีรูปร่าง จึงไม่มีความแก่เฒ่า ชรา เหี่ยวย่นในตัวมันเอง เธอจึงไม่รู้สึกว่า ตัวใจ นั้นเป็นคนเดียวกับตัวกายที่มีรอยตีนกาในกระจก ซึ่งเป็นสภาวะที่อยู่เหนือความแก่เฒ่าและความตาย เป็นสภาวะอมตะ นี่เป็นสภาวะที่หญิงวัยกลางคนนี้สามารถสัมผัสได้ และทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพียงแต่ความรู้ของเธอไม่ชัดเจน เพราะยังถูกความคิดที่เป็นมายาสร้างตัวปลอมรบกวนอยู่ ด้วยความที่ยังไม่ได้เข้าใจชีวิตตามหลักของศาสนาพุทธ จึงไม่รู้จักตาใจ หรือ อายตนะที่ ๖ จึงทำให้หาตัวจริง ๆ ของตนเองไม่พบ ซึ่งถ้าเข้าใจได้และสามารถหาตัวใจที่แท้จริงพบแล้วละก็ จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องความกลัวความแก่เฒ่าชรานี้ได้ง่ายมาก ตลอดจนถึงปัญหาเรื่องกลัวตายด้วย
สรุป
คุณคงเข้าใจแล้วว่า ความคิดเรื่องสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตในส่วนจิตใจของมนุษย์อย่างไร การไม่รู้จุดคงที่ของจักรวาลคือ การไม่รู้จักตัวจริงของเรา การยอมรับความคิดเรื่องสัมพัทธภาพก็คือการยอมรับตัวปลอมของเรา ฉะนั้น ถ้าเราไม่ยอมศึกษาเรื่องการไปนิพพานแล้วละก็ การแสวงหาตัวจริงจะไม่เกิด และจะไม่มีวันรู้จักตัวจริงของเราได้เลย
ดิฉันหวังว่าบทความนี้คงช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องการแสวงหาตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอายตนะที่ ๖ และ การนำผ้าปิดตาใจออกโดยวิธีการฝึกสติปัฏฐานสี่ นี่เป็นเรื่องเดียวที่สำคัญมากที่สุดต่อทุกชีวิตบนโลกนี้ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณคงจะแสวงหา “ตัวจริง ๆ” ของคุณพบไม่วันใดก็วันหนึ่งในชาตินี้ เพื่อให้สมกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
[1] ถึงแม้ว่าการวิจัยเรื่องสมองของมนุษย์ยังคงเป็นเรื่องที่กระทำอยู่อย่างต่อเนื่องมานานนับร้อยปีแล้ว และยังไม่มีผลสรุปที่แน่นอนแต่อย่างใด ชาวตะวันตกส่วนมากก็ยังมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าจิตใจของมนุษย์อยู่ที่สมองอยู่นั่นเอง
[2] ความทรงจำเป็นธรรมชาติในส่วนนามที่ตรงข้ามกับการลืม อะไรที่จำไม่ได้ แสดงว่า “ลืมไป” การลืมไม่ใช่สิ่งไม่ดีเสมอไป เพราะหากเป็นความทรงจำอันเนื่องกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดของชีวิตแล้ว การลืมก็เป็นสิ่งที่ดี สามารถทำให้ชีวิตเจ็บปวดน้อยลง จนฮอลลีวู๊ดนำความคิดนี้ไปสร้างภาพยนตร์เช่น เรื่อง Final Cut และเรื่องล่าสุดคือ Eternal Sunshine of a Spotless Mind ที่มีคนคิดวิธีการลบความทรงจำออกจากกล่องความคิดของมนุษย์ เพื่อคนเหล่านี้จะได้สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีความทรงจำที่เจ็บปวดของอดีตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่นั่นเป็นทางออกของชีวิตหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
[3] ขอให้คุณช่วยสังเกตสักนิดหน่อยว่า ความหมายของอายตนะที่ ๖ ที่ชาวตะวันตกเรียกว่า 6th sense นั้น ต่างจากความหมายของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เมื่อฝรั่งพูดถึง 6th sense นั้น เขาจะมีปฏิกิริยาแบบ ตื่นเต้นมาก เพราะเขาพูดถึงคนบางคนเท่านั้นที่มีความสามารถพิเศษ ไม่เหมือนชาวบ้านทั้งหลาย คือ คนมี 6th sense จะสามารถอ่านใจคนได้บ้าง รู้เรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ได้ ทำนายทายทักได้ หรือ สามารถพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้วได้ คนที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ซึ่งมีน้อยคนเหล่านี้แหละที่ชาวตะวันตกจัดให้พวกเขาอยู่ในประเภทที่มีอายตนะที่ ๖ หรือ มี 6th sense คนนอกเหนือจากนั้นมีเพียง ๕ อายตนะเท่านั้น ซึ่งเป็นความหมายที่แตกต่างจากของพระพุทธเจ้ามาก เพราะโดยความหมายของท่านแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนเดียวล้วนมี ๖ อายตนะเท่ากันหมด ความรู้สึกตัวหรือวิญญาณขันธ์มีอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ จึงไม่มีใครพิเศษหรือแปลกประหลาดมากกว่าใครเลย
[4] ขอให้อ่านเรื่อง พาตัวใจกลับบ้านกันเถิด ซึ่งอยู่ในภาคผนวกของหนังสือเล่มนี้
No comments:
Post a Comment