มีคำกล่าวว่า “ความกตัญยูอยู่เหนือความดีทั้งปวง” “ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของความดี” ฯลฯ จากประวัติศาสตร์จีนอันยาวนานหลายพันปีที่ผ่านมา ข้าแผ่นดิน ที่ซื่อสัตย์ ส่วนมากมาจากลูกกตัญญู พระพุทธอริยเจ้าทั้งหลายก็ไม่เคยมีพระองค์ใดเลยที่ขาดความกตัญญู ความกตัญญูจึงเป็นบรรทัดฐานของการปกครองบ้านเมืองเป็นบรรทัดฐาน ของการบำเพ็ญ ฯลฯ คนที่ก่อกรรม ทำผิดบาปชั่วร้าย ส่วนใหญ่จะเริ่มจากขาความกตัญญู คนที่ไม่รู้คุณพ่อแม่ เขาจะยังมีความสำนึกดีเหลือไว้ให้ใครได้อีก ทีนี้เรามาดูตัวอย่างของลูกที่รักพ่อแม่บ้าง ลูกที่ดีมีความรักพ่อแม่และเป็นที่ซาบซึ้งผู้คนก็มีมากมายเป็นที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์สืบต่อกันมา คนจีนยกย่องคุณธรรมความกตัญญูมาก มีเรื่องเล่าในหนังสือ “ยอดกตัญญู” ซึ่งทุกคนควรไปหามาอ่าน จะได้แบบอย่างที่ดีน่าประทับใจมากมาย คนเหล่านี้แม้จะตายไปแล้ว แต่คุณงามความดีของเขายังสถิตอยู่ในใจของคนจำนวนมากตลอดไป ในหนังสือเล่มนี้ได้ นำตัวอย่างมาให้อ่านสัก 13 เรื่อง เพื่อเป็นการปูพื้นฐานให้คนรุ่นใหม่ ใส่ใจต่อความกตัญญู อันจะเป็นทางนำไปสู่ความดีทั้งปวงต่อไป
ค่าน้ำนม
ครั้งหนึ่งแม่นมของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทำผิดพระเจ้าฮั่นอู่ตี้โกรธมากเตรียมการจะลงโทษหนัก แม่นมแก่เฒ่าแล้วกลัวการถูกลงโทษมาก จึงขอให้ท่านราชเลขาตงฟังสั่ว ช่วยเหลือ ท่านราชเลขาฯ แนะนำว่า “เมื่อฮ่องเต้จะตัดสินลงโทษไม่ต้องร้องขอหรือโต้แย้งอย่างไรทั้งสิ้น ให้มองดูฮ่องเต้ด้วยความรักเหมือนเมื่อครั้งพระองค์ยังเล็กอยู่ก็พอ” เมื่อฮ่องเต้เรียกตัวแม่นมมาจะลงโทษ แม่นมก็ได้แต่มองดูฮ่องเต้นัยน์ตาละห้อย ท่านราชเลขาฯ เห็นเช่นนั้นก็แกล้งพูดเหน็บให้สะกิจใจฮ่องเต้ขึ้นว่า “อย่าเพ้อฝันไปเลยว่าฮ่องเต้จะอาทรถึงความหลังครั้งที่เสวยเลือดในอก ของแม่นม” พระเจ้าฮั่นอู่ตี้แม้จะเด็ดเดี่ยวห้าวหาญเพียงไร เมื่อได้ฟังคำของตงฟังสั่ว ก็อดสะดุ้งในใจไม่ได้ จึงได้โปรดนิรโทษกรรมแม่นมในที่สุด ค่าน้ำนม ผสมเลือด ไม่เหือดหาย เป็นสายใจ ไม่รู้ลืม เคยดื่มด่ำ เคยซุกซบ เคยอบอุ่น คุณควรจำ ทุกทุคำ ทุกค่ำเช้า เราเคยกิน
สละลาภ ยศ รับใช้มารดา
พ้นเอวี้ย เป็นนายอำเภอเมืองเหอหยัง เมื่อเยาว์วัยเคยได้รับสมญาว่าเด็กวิเศษ เพราะปัญญาปราดเปรื่องเกินใคร เมื่อไปรับราชการเมืองไกล พันเอวี้ยก็พามารดาไปด้วย เมื่อมีเวลาว่างจากงานราชการ พันเอวี้ยก็ลงมือปลูกต้นไม้จัดสวนดอกไม้เอง วันใดอากาศดีก็จะพาแม่ออกมาเดินเล่นนั่งเล่น ชมนกชมไม้ให้แม่เพลิดเพลินเจริญใจ แม่จึงไม่เบื่อหน่ายที่จากบ้านติดตามลูกมารับราชการเมืองไกล วันหนึ่งแม่ล้มป่วยลงด้วยโรคชรา คนเราเมื่อแก่เฒ่าเจ็บป่วยก็มักจะคิดถึงบ้าน อยากไปตายที่บ้านที่พ่อแม่ ปู่ย่าของตนเคยอยู่ แม่ขอพันเอวี้ยก็เช่นกัน ร่ำร้องทุกวันว่าอยากกลับบ้านอาการป่วยก็ทรุดหนักลง พันเอวี้ยจึงตัดสินใจลาออกจากราชการ ผู้บังคับบัญชาและผู้น้อยต่างก็พากันขอร้องให้อยู่ต่อไป แต่พันเอวี้ยยืนกรานว่า “เมื่อแม่แก่เฒ่าไม่เฝ้ารับใช้ใกล้ชิด แม้สูงด้วยยศศักดิ์ แต่จักเป็นคนสมบูรณ์ได้หรือ” พันเอวี้ยเป็นขุนนางสุจริต จึงพาแม่กลับไปอยู่บ้านอย่างคนมือเปล่า ท่านปลูกผักไปขายเลี้ยงดูแม่ เลี้ยงแพะไว้รีดน้ำนมบำรุงร่างกายแม่ โรคชราที่น่าห่วงของแม่ก็หายคืนหายวัน เพราะขวัญกำลังใจ และความกตัญญูที่ลูกบำรุงให้นั่นเอง
รักตัวกลัวพ่อแม่เจ็บ
ลูกกตัญญูอีกผู้หนึ่งชื่อ ฟั่นเซวียน เกิดในสมัยราชวงศ์จิ้น เมื่อเยาว์วัยอายุได้สิบปีก็มีความซาบซึ้งต่อพระวจนะของท่านจอมปราชญ์ ขงจื้อที่ว่า “ร่างกายตัวเรา ตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายเท้า เป็นสมบัติที่พ่อแม่ให้มา มิกล้าทำลายให้เสียหาย” ฟั่นเซวียน นอกจากจะว่าง่ายกตัญญูรับใช้พ่อแม่แล้วยังระมัดระวังตัว ไม่ทำอะไรที่ล่อแหลมเป็นอันตรายต่อตัวเองอีกด้วย วันหนึ่งขณะที่เด็กชายฟั่นเซวียนนั่งเหลาไม้ไผ่ทำตะเกียบอยู่มือที่ถือมีดเกิดพลาด บาดนิ้วชี้ซ้ายไปหน่อยหนึ่งเลือดออกซิบๆ ฟั่นเซวียนน้ำตาไหลด้วยความเสียใจ คนที่อยู่ใกล้ๆ ถามว่า “เจ็บหรือ” ฟั่นเซวียนส่ายหน้า “ถ้างั้นร้องไห้ทำไม” “ความเจ็บหนูทนได้ ที่ร้องไห้เพราะเสียใจที่ทำให้ร่างกายที่พ่อแม่รักต้องเสียหาย” ผู้ที่สำนึกได้ว่า “กายสังขารตนเป็นที่รักของพ่อแม่ จะต้องรักษาไว้ด้วยความกตัญญู” เขาผู้นั้นก็จะไม่กล้าสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสเพลฯ ทำความชั่วใดๆ ที่จะทำให้พ่อแม่ห่วงใยเจ็บปวดเป็นแน่แท้ อันกายา จากเกศา ถึงปลายเท้า พ่อแม่เรา เฝ้าถนอม ล้อมรักไว้ ป้องยุงลิ้น แม้บินผ่าน ไล่ให้ไกล ท่านปวดใจ แม้ลูกเจ็บ เพียงเล็บเดียว
จำในฆ่าไก่ให้แม่กิน
เหมาหยง เป็นลูกกตัญญูในสมัยฮั่นยุคหลัง วันหนึ่งเมื่อท่านอายุได้สี่สิบเศษ ขณะทำนาอยู่ ฝนเกิดตกหนัก จึงต้องหลบพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะนั้นบัณฑิตกัวไท่เดินทางผ่านมาจึงเข้าไปอาศัยหลบฝนด้วย บัณฑิตสังเกตเห็นชาวนาหญิงชายที่หลบฝนกันอยู่ บางคนเหยียดแข้ง เยียดชา บ้างคุยโขมง บ้างบิดขี้เกียจฯ มีแต่เหมาหยงคนเดียวที่นั่งตัวตรงสำรวมกาย บัณฑิตรู้สึกชื่นชมจึงเข้าไปทำความรู้จักพูดคุยกันเป็นที่ถูกใจ คืนนั้นบัณฑิตกัวไท่ขออาศัยพักแรมที่บ้านของเหมาหยง บัณฑิตได้ยินเหมาหยงสั่งให้ภรรยาฆ่าไก่เป็นอาหารเช้า เข้ารู้สึกเกรงใจมาก รุ่งขึ้นกินอาหารเช้า กับข้าวที่ภรรยาของเหมาหยงจัดมาเลี้ยงกลับมีแต่ผัดผักง่ายๆ ไม่มีไก่สักชิ้นเดียว เหมาหยงรีบชี้แจงต่อบัณฑิตว่า “ไก่ที่ฆ่านั้นจำใจเพราะเพื่อตุ๋นยาให้แม่ซึ่งแก่เฒ่าอ่อนแอมากได้บำรุงร่างกาย” บัณฑิตไม่เพียงแต่ไม่ติดใจอยากกินไก่ที่คาดว่าจะได้กิน แต่กลับชื่นชมในความกตัญญูของเหมาหยงยิ่งนัก จึงส่งเสริมให้ศึกษาวิชาการ สุดท้ายเหมาหยงก็ได้รับความสำเร็จเช่นเดียวกับบัณฑิตกัวไท่ ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ บูชาพระไม่เกิดคุณ ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ คบหาใครก็ไม่ยั่งยืน
ว่าที่ลูกสะใภ้ให้สติ
หลิวหลัน เป็นเด็กหญิงอายุสิบสองปี ในสมัยราชวงศ์หมิง เธอถูกซื้อไปเป็นลูกสะใภ้เด็ก เพื่อรับใช้แม่ของว่าที่สามีตั้งแต่เล็ก (ประเพณีจีนโบราณชอบจะซื้อเด็กผู้หญิงเด็กๆ มาเลี้ยงคู่กับลูกชายของตน เมื่อทั้งสองโตขึ้นจนวันและโอกาสสมควรก็จะให้แต่งงานกัน) ว่าที่แม่สามีเป็นคนปากร้าย ชอบด่าว่าแม่ของตนเสมอ และมักจะแช่งว่า "แก่แล้วไม่รู้จักตายเสียที" คืนหนึ่งกลางดึกเด็กหญิงหลิวหลันนอนไม่หลับเธอเข้าไปคุกเข่าร้องไห้อยู่หน้าเตียงของว่าที่แม่สามีจนนางตกใจตื่นถามว่าเกิดอะไรขึ้น หลิวหลันตอบว่า "หนูเห็นแม่ด่าว่าย่าทุกวัน หนูหวั่นใจว่าสักวันหนึ่ง ถ้านิสัยใจคอของหนูเปลี่ยนไป เกลียดแม่เหมือนอย่างที่แม่เกลียดย่า แล้วหนูจะทำอย่างไร" ว่าที่แม่สามีได้ยินเด็กหญิงหลิวหลันซึ่งเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตัวน้อยลุกขึ้นโอบ กอดขอบใจที่เธอให้สติ จากนั้นเป็นต้นมาครอบครัวตระกูลหยังบ้านนี้ก็สงบสุข ไม่มีเสียด่าทอกระทบกระเทียบอีกเลย อกเขา และอกเรา ให้เข้าใจ เป็นสะใภ้ เห็นใจแท้ แม่สามี ท่านรักลูก เฝ้าปลูกฝัง จนวันนี้ สะใภ้ดี แม่สามี สิแม่ตัว
กตัญญูได้วาสนา
ติงเค่อเจีย เป็นลูกกตัญญูในสมัยราชวงศ์ชิง บิดาข้ามทะเลมาค้าขายที่ไต้หวัน ไม่นานก็ส่งข่าวกลับไปบ้านว่าเป็นอัมพาต ปีนั้นเค่อเจียเพิ่งอายุได้สิบสามปี ท่านรีบเดินทางมาตามหาพ่อที่ไต้หวันทันที สมัยนั้นการเดินทางฝ่าคลื่นลมข้ามมหาสมุทรด้วยเรือลำเล็กๆ อันตรายมาก แรงกตัญญูผลักดันให้เกิดความกล้า เค่อเจียมาตามหาพ่อจนพบ จากนั้นเด็กอายุสิบสามก็ตื่นตีสี่หุงข้าว ซักผ้า ทำความสะอาดเช็ดล้าง อุจจาระ ปัสสาวะให้พ่อ กลางดึกพอพ่อครางหรือกระดิกตัวก็สะดุ้งตื่นลุกขึ้นปรนนิบัติรับใช้... ทำเช่นนี้อยู่สิบปีกว่า วันหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ใกล้บ้าน เค่อเจียแบกพ่อจะหนีไฟแต่ไม่ทันการ ไฟลุกลามรอบบ้าน จะออกจากประตูบ้านก็ไม่ได้ ไม่มีใครดับเพลิง ได้แต่หนี้ไฟกัน ทันใดนั้นเหตุมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เพลิงที่ไหม้อยู่รอบบ้านดับพรึบลงทันที เหมือนมีใครเอาพัดเล่มใหญ่พัดให้ดับลง พ่อลูกจึงรอดตายอย่างไม่น่าเชื่อ บั้นปลายชีวิตของเค่อเจียฐานะมั่งคั่ง มีลูกชายกตัญญูเจ็ดคนล้วนทรงคุณวุฒิ คนที่หกสอบได้รองจอหงวน มีหลายยี่สิบกว่าคนก็ล้วนปราดเปรื่องเรืองปัญญา ฮ่องเต้โปรดเชิดชูเค่อเจียให้ได้รับสักการะฐานะลูกกตัญญูในพระบรมราชูปถัมภ์ กตัญญู จะชูช่วย ให้รวยได้ ขจัดภัย ให้อายุ อยู่ยงมั่น ให้อุดม สมบูรณ์สุข ถึงลูกหลาน ยิ่งยืนนาน ปัญญาเฟื่อง รุ่งเรืองจริง
สละลูกเพื่อให้นมแม่
โจวซื่อจิ้น เป็นลูกกตัญญูในสมัยราชวงศ์ชิง ท่านและภรรยาเอาใจใส่ดูแลแม่อย่างหาที่เปรียบได้ยาก เมื่อแม่แก่เฒ่าร่างกายทรุดโทรม หมอแนะนำว่าจะต้องให้อื่มนมคนจะได้ยืดอายุต่อไป สองสามีภรรยาจึงตัดใจยกลูกชายคนเดียวอายุเก้าเดือนให้คนหมู่บ้านอื่นไป น้ำนมทั้งหมดจะได้พอเพียงสำหรับบำรุงแม่ (สมัยก่อนไม่นิยมดื่มนมวัวและไม่มีอาหารเสริมประเภทนี้) แม่ได้น้ำนมจากอกลูกสะใภ้อย่างอุดมสมบูรณ์ไม่นานก็แข็งแรงขึ้น แต่ลูกสะใภ้ก็มีลูกได้คนเดียวเท่านั้น เวลาผ่านไปจนลูกชายที่ให้คนอื่นไปเติบใหญ่ พ่อแม่ที่รับเลี้ยงไว้จะจัดการแต่งงานให้ จึงกลับมาถามพ่อแม่แท้ๆ ว่าลูกเกิดวันเดือนปีอะไร โจวซื่อจิ้นและภรรยาน้ำตานองเมื่อนึกถึงลูกที่ยกให้เขาไป พ่อแม่ที่รับเลี้ยงมีน้ำใจ จึงบอกเล่าความจริงแก่ลูก และยินดีให้ลูกทำหน้าที่ผู้สืบสกุลทั้งสองครอบครัว ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว ปลูกงาย่อมได้งา ลูกกตัญญู ย่อมได้ลูกกตัญญู การกระทำของเรา จะเป็นตัวอย่างของลูกหลานสืบไป
ชิมอุจจาระบิดา
ในยุคน่ำปักเฉียว มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง เกิดในตระกูลมั่งคั่ง ชื่อยูงิมหลูเป็นบุตรยูเอ๊อจื้อ อยู่ที่เมืองหน่ำฉี มีความกตัญญูกตเวทีในสันดานเป็นที่ยิ่ง เมื่ออยู่กับบิดามารดาก็เอาใจใส่ปรนนิบัติวัฏฐากเป็นอย่างดี ครั้นบิดาส่งไปศึกษาในสำนักอาจารย์ ก็ปรนนิบัติอาจารย์เช่นเดียวกับที่เคยปรนนิบัติบิดามารดาของตน จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของอาจารย์ยิ่งนัก งิมหลูเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เล่าเรียนอยู่ไม่ช้าก็สำเร็จการศึกษา กลับไปอยู่ปรนนิบัติผู้บังเกิดเกล้ายังบ้านเดิม ต่อมาบิดาฝากฝังให้เข้ารับราชการในเมืองหลวง งิมหลูทำราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตได้เป็นเหล็ง ตำแหน่งปลัดอำเภอๆ หนึ่ง อยู่มาไม่นานพระเจ้าหน่ำฉีทรงแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอชังเหล็ง งิมหลูชำระคดีความราษฎรด้วยความเที่ยงธรรมจนเป็นที่นิยมรักใคร่นับถือของประชาชนทั่วไป วันหนึ่งขณะที่เขากำลังพิจารณาคดีอยู่บนบัลลังภ์ เกิดอาการตัวสั่นเหงื่อไหลโซมกาย สังหรณ์ว่าคงมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นทางบ้าน จึงมอบหมายหน้าที่การงานให้กรมการดูแลแทน แล้วลาเดินทางไปยังบ้านเดิม ถึงปรากฏว่าบิดากำลังป่วยหนัก ชินแสตรวจอย่างถี่ถ้วนแล้วไม่พบสาเหตุของโรคที่จะวางยารักษาได้ จึงบอกงิมหลูว่า “มีทางเดียวที่จะรู้สาเหตุของโรค คือต้องรู้รสอุจจาระ” งิมหลูมิได้อิดเอื้อนรอช้า ควักอุจจาะของบิดาขึ้นชิมทันที แล้วบอกชินแสว่า “มีรสหวาน” ชินแสจึงว่า “ถ้าเช่นนั้นก็หมดหนทางที่จะรักษาได้” เขาอัดอั้นตันใจมิรู้ที่จะทำประการใด จึงจุดธูปเทียนวิงวอนเทพเจ้าปักเจ้า ขอให้บิดาของเขามีชีวิตรอดอยู่ต่อไป หากจะต้องหายก็ขอให้เขาตายแทน ด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทีของเขา ฟ้าเบื้องบนบันดาลให้บิดาหายป่วยเป็นปกติในเวลาไม่ช้า เขากลับไปรับราชการไปได้ตำแหน่งสูงขึ้นเป็นลำดับ จนถึงตำแหน่งซัวเซียซี ดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้จนกาลอวสาน แห่งชีวิตเมื่ออายุได้ 70 ปี
No comments:
Post a Comment