Friday

พระในบ้าน - พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน มหาเทพหลี่เถียไกว่

น่าอนาถ คนปัจจุบันนี้ต้องมาพูดถึงเรื่องกตัญญู มีใครบ้างที่ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ แยกหน่อมาจากพ่อแม่ ได้รับการอุ้มชูทะนุถนอม ร่วมลำบากร่วมทุกข์ยากพ่อแม่ ไร้การศึกษาก็เลี้ยงดูตามประสาต้องทุกข์ต้องลำบาก ต้องเหนื่อยยากต้องฝ่าฟัน ตอนเล็กๆ ก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่พอโตขึ้นตัวเองได้รับการศึกษา มีหน้ามีตามีความรู้มีงานทำ หาเงินหาทองได้เป็นกอบเป็นกำ สร้างความสุขความสบายให้กับตัวเองได้มากมาย ก็ปลีกตัวไปหาความสุขความสบายส่วนตน ทิ้งผู้เฒ่าทั้งสองให้เหนื่อยยากลำบากอยู่ที่บ้าน ทิ้งความปวดร้าวเศร้าใจไว้กับท่านทั้งสองเพียง ลำพัง
     ปัจจุบันเราอยู่ดีมีสุขแล้ว เคยกลับไปถามถึงพ่อแม่ที่อยู่บ้าน เคยกลับไปให้ความอบอุ่น ให้กำลังใจ ให้การดูแลเอาใจใส่โดยไม่รังเกียจรังงอน ให้ความรู้สึกดีๆ ไม่ต้องให้ท่านกังวลใจไม่มากน้อยแค่ไหน หรือว่าพ่อแม่แก่เฒ่าแล้ว ใช้การไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยให้ท่านมีชีวิตตามประสาคนแก่ แล้ววันหนึ่งกฏแห่งกรรมก็จะเวียนมาถึงเจ้าเช่นเดียวกัน เจ้าสอนลูกอย่างไร เจ้าปฏิบัติอย่างไรต่อพ่อแม่ต่อไปลูกหลานของเจ้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้น นี่คือกฏแห่งกรรม
     วันนี้หากตัวเองไม่รื้อฟื้นจิตใจอันกตัญญู ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตัวเอง ต่อไปก็อย่าหวังเลยว่าจะมีลูกๆ หลานๆกตัญญูต่อเจ้า ทั้งความประพฤติ ทั้งจิตใจ ทั้งความคิดเรามัวแต่ดูแลเอาใจใส่เพื่อนฝูงครอบครัวอันสุขสบายของตัวเอง มีไหมที่จะคิดถึงความแก่ชรา ความต้องการเอาอกเอาใจใส่ของพ่อแม่ หนึ่งมื้อให้อาหารอีกหนึ่งมื้อให้อีก ทำอย่างขอไปที เคยไหมที่จะกราบขอบคุณพ่อแม่อย่างซาบซึ้งใจ อย่างสำนึกจริงใจ มีแต่ตัดพ้อต่อว่าไม่มีที่สิ้นสุดมีแต่การขอร่ำไป จนพ่อแม่แก่หงอกก็วอนขอ พ่อแม่ก็ยังเป็นผู้ให้อยู่ตลอดไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
     มีวันไหนบ้างที่พ่อแม่ไม่รักเรา แล้วมีนาทีไหนที่เรารักพ่อแม่คิดถึงพ่อแม่ ถ้าหากไม่ลำบากอย่างที่สุด ถ้าหากไม่ทุกข์ก็คงจะไม่มาวิ่งหาพ่อหาแม่ขอความช่วยเหลือ สร้างความลำบากใจตั้งแต่เกิดจนถึงตาย หาความจริงใจไม่ได้ใครล่ะจะเป็นผู้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้กตัญญู ที่กระทำออกมาให้เพื่อนเขาเห็น ทำเอาหน้า ที่ลอยหน้าลอยตาอยู์ในสังคมอย่างสบาย อย่างเชิดชูหรูหรา อย่างมีคุณค่า อย่างที่คนอื่นเขาเคารพยกย่อง แต่เบื้องหลังถามตัวเองว่ามีความกตัญญูมีคุณค่าพอที่จะให้คนอื่นเขากราบไหว้ หรือเปล่า จะสำนึกเปลี่ยนแปลงใจภายในของตัวเองหรือเปล่า
     แม้วันนี้พ่อแม่จะตายจากไปแล้ว แต่จะทำยังไงเพื่อให้ลูกหลานให้ครอบครัว ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มีความสุขความสบายใจ ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ความสุขของชีวิตไม่ใช่แสวงหาแค่เงินทองความสบายทางกายแค่นั้น ความโลภ อยาก อยาก อยาก ! ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ชื่อเสียงเอาไปทำไมถ้าไม่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตัดพ้อต่อว่าทำไม ว่าผู้อื่นทำไม ทำไมไม่ย้อนมองดูตัวเอง สังคมเสื่อมไปถึงไหนแล้ว จิตใจเราก็ไม่เคยที่จะพัฒนาขึ้นมา เอาแต่สร้าง สร้างสร้าง ! สิ่งที่มองเห็น สิ่งที่เป็นกิเลสภายในไม่เคยขัดไม่เคยชะล้าง คิดหรือว่าสังคมเราจะเจริญรุ่งเรือง
     คำว่า "กตัญญู" เป็นรากฐานแท้แก่นเดิมที่ควรจะมีในจิตใจของมนุษย์ทุกคน แต่น้อยคนที่จะขุดมันขึ้นมาสำนึกมันขึ้นมา เมื่อพ่อแม่แก่ชราก็ปล่อยปละละเลยให้ใช้ชีวิตอย่างลำพัง อย่างอ้างว้างเดียวดาย ก็เรายังไม่แก่นี่ !จะไปคิดถึงความแก่ทำไม วัยรุ่นก็คิดแต่เพียงฉาบฉวยความสุขตรงหน้า ในเมื่อยังมีกำลังวังชา ตัวเองก็หยิ่งยโสอยู่ในสังคม ไม่เคยช่วยผู้ที่อ่อนแอ ผู้ที่รอคอยความอบอุ่นชีวิตในยามแก่เฒ่าของพ่อแม่สุดท้ายต้องการอะไร เงินทองหรือ? ในชีวิตขั้นสุดท้ายที่พ่อแม่ต้องการ ความสุขทางกายหรือ? อะไรล่ะ ! อยู่กับท่านสักสองชั่วโมงก็รู้สึกรำคาญแล้ว เหม็นสาบแล้ว รังเกียจแล้ว อย่างนี้หรือที่จะตอบแทนพ่อแม่ รู้ว่าท่านเป็นโรคร้ายก็ทำลายบั่นทอนสุขภาพจิตใจลงไป มีแต่หวังผลประโยชน์ มีแต่หวังผลความสุขสบาย มีแต่หาความสุขทางกายให้ตัวเองได้รับ มีแต่ความสำนึกเพียงผิวเผิน หนึ่งในร้อยจะหาได้สักกี่กตัญญู
     พ่อแม่เราที่ตายจากไป ลองนึก เราเคยให้การกตัญญูตอบแทนท่านหรือเปล่า ชีวิตแล้วชีวิต เล่า ผ่านมาใครล่ะจะมานั่งสั่งสอนเรื่องความกตัญญู มันควรที่จะเกิดจากความสำนึกจากเราเอง ถ้าหากวันนี้เราเกิดมาจากพ่อแต่ขาดซึ่งจิตกตัญญู ก็เหมือนกับกาฝากดีๆ นี่เองที่สูบกินแต่ผลประโยชน์ ต้นไม้ที่โดนโคลนสูบนั้นก็เหลือแต่ซากรอวันตาย ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าหากไม่สำนึก ต้นไม้ไร้รากย่อมขาดชีวิต ผู้ไร้กตัญญูก็ไม่ควรที่จะอยู่ในโลกนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใดบ้างที่ไม่ มีความกตัญญูแล้วสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์ลทธิ์ เพื่อนให้น้ำดื่มเพียงนิด กินเพียงหนึ่งมื้อยังรู้สึกสำนึกซาบซึ้งในบุญคุณของผู้อื่น แต่ผู้หญิงหาอาหารให้เรากินตลอดชีวิต เรากลับละเลยไม่รู้ซึ้งถึงบุญคุณ
     เราเหนื่อยยากหาเงินทองเลี้ยงดูพ่อแม่แค่ไม่กี่สิบปีก็บ่นว่าเหนื่อย หน่ายท้อแท้ ร่างกายสุขภาพของพ่อแม่ไม่แข็งแรงจะต้องให้ช่วยพยุงให้ช่วยดูแลแค่ไม่กี่สิบ ปีเรายังท้อแท้รำคาญใจ แล้วอย่างนี้ลงที่เรียกว่ากตัญญูมันอยู่ตรงไหน ? ความดีที่เคยทำมาปฏิบัติมา กราบไหว้พระกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สู้เราเอาใจใส่พ่อแม่ที่ยังคงอยู่ สอนให้ลูกหลานได้รู้จักถึงความกตัญญู ยินดีเมื่อลูกหลานก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญธรรมเช่นนี้สังคมจึงจะสงบสุข
     หากวันนี้เราผู้เป็นพ่อแม่เองจะต้องดำรงอยู่ในธรรมในครรลอง รู้จักนำพาบุตรหลานให้สู่หนทางที่ถูก รู้จักฟังธรรม รู้จักกตัญญู โลกนี้จึงจะมีความหวัง ไม่ใช่ส่งเสริมให้ลูกเอาแต่แสวงหาทรัพย์ แสวงหาชื่อเสียง ทรัพย์ชื่อเสียงแสวงหาเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ มันยังไม่สายถ้าจะเริ่มต้นในวันนี้ แต่มันจะสายเมื่อไม่รู้จักที่จะเริ่มต้น
     เราเลี้ยงดูเอาใจใส่ท่าน เราให้ความสบายอกสบายใจมีไหมมือของท่านที่จะวอนขอต่อลูก มีแต่จะให้และให้ตลอดกาล ให้ตลอดไป ลูกๆ ทั้งหลายที่แล้วมาไม่เคยเลยที่จะเอาใจใส่ หรือแค่เพียงผิวเผินผ่านเลยไป จะสำนึกอย่างจริงใจนั้นก็หาไม่ พลาดผิดไปแล้วก็ยังคงได้รับการอภัยตลอดมา ลูกเจ็บนิดเจ็บหน่อย พ่อแม่ก็รีบร้อนเอาใจใส่ แต่บัดนี้ดูซิมือไม้แห้งกร้าน หน้าตาเหี่ยวย่น ผมเผ้าหงอกขาว ตาพร่ามัว วันนี้สองมือที่เคยให้ความอบอุ่น พรุ่งนี้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ก็หวังจะให้ลูกผู้แข็งแรงเติบโตด้วยกันมาช่วยกันดูแลเอาใจใส่ท่านบ้าง หวังจะได้พึ่งยามแก่ หวังยามตายให้ลูกได้ปิดตาให้ ไม่เคยหวังอะไรนอกไปจากนี้.

No comments:

Post a Comment