Thursday

พระในบ้าน - เลือดแม่เพื่อลูก













สมัยหนึ่ง ที่การคมนาคมทางบกและทางอากาศยังไม่สะดวก เวลาจะเดินทางไปทีไกลๆ ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมโดยสารเรือเดินทะเล มีเรื่องเล่าว่ามีเรือขนส่งผู้โดยสารทางทะเลลำหนึ่งได้นำผู้โดยสารมีจำนวนนับร้อยมุ่งหน้าสู่ทะเลใหญ่ ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้ปรากฏว่าเมื่อเรือไปถึงกลาง ทะเล เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น ทันใดนั้นได้เกิดลมพายุพัดโหมกระหน่ำจนทำให้เรือถึงกับอับปางลง ในขณะที่เรือกำลังจะล่มลงนั้น ได้มีการถ่ายคนจากเรือใหญ่ลงสู่หรือเล็ก ด้วยความกลัวตายของคนในเรือต่างรีบเอาตัวรอด หาได้คิดถึงเสบียงอาหารหรือทรัพย์สินที่นำติดตัวมาไม่ คว้าสิ่งของได้เท่าที่จะหยิบติดมือไปได้เท่านั้น
     ถึงแม้จะผ่านวิกฤตการณ์อันเลวร้ายมาได้ แต่เรือลำน้อยลำนี้ได้ลอยคว้างอยู่กลางทะเลอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลาหลายวัน ทำให้คนที่อยู่ในเรือหลายชีวิตต้องพบกับความอดอยากหิวโหยเพราะเสบียงที่นำติดตัวมาซึ่งมีจำนวนเล็กน้อยได้หมดลง อีกทั้งน้ำที่มีอยู่โดยรอบก็ไม่สามารถนำมาดื่มเพื่อดับกระหายได้ ทำให้หลายคนต้องจบชีวิตลงกลางทะเลอย่างน่าเวทนา
     ใน จำนวนเรือที่ลอยละล่องเคว้งคว้างกลางทะเลนั้นมีเรือลำหนึ่งได้มีแม่กับลูก น้อยอาศัยมาด้วย แม้เธอจะผ่านพ้นมรสุมมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ต้องมาเผชิญกับความหิวโหยเช่นกัน ลำพังตนเองนั้นไม่เท่าไหร่ ห่วงแต่เพียงลูกน้อยที่ต้องมารับชะตากรรมอันเลวร้ายกับเธอด้วยซึ่งตอนนี้ลูก น้อยนั้นกำลังร้องไห้เพราะความหิว เสียงร้องของลูกเปรียบเหมือนมีดที่กรีดลงกลางใจของผู้เป็นแม่ ซึ่งไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้ลูกได้คลายหิว สิ่งที่แม่ให้ลูกได้ในตอนนั้นเพียงน้ำนมจากอกที่ยังพอประทังความหิวให้ลูก ได้
     ความร้อนจากแสงแดดในตอนกลางวันแผดเผาผิวอันบอบบางของลูกน้อย ด้วยความรักความสงสาร ห่วงว่าลูกจะได้รับความทรมาน จึงได้ดึงชายเสื้อของตนขึ้นมาเป็นกำบัง ใช้แผ่นหลังเป็นหลังคาคุ้มแดดให้ลูกได้คลายร้อนถึงแม้ในตอนนี้หลังแม่จะปวดแสบเพราะถูกแดดแผดเผาแม่ก็ยังทนได้ เธอทนต่อไปถึงแม้หนทางข้างหน้าจะมืดมนไร้จุดหมาย ผู้คนในเรือทยอยกันสิ้นใจไปทีละคนๆ เพราะความหิวโหย แต่เธอก็บอกกับตัวเองว่าเรายังตายไม่ได้เราจะต้องประคองชีวิตให้อยู่ต่อไปเพื่อลูกน้อย
     เมื่อเห็นลูกมีอาการจะสิ้นใจเพราะขาดน้ำ จึงคิดว่าจะปล่อยให้ลูกตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องหาทางช่วยลูกให้รอดตายให้ได้ คิดดังนั้นเธอจึงพยายามควานหาสิ่งต่างๆ รอบตัวอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งใดเลยที่จะนำมาประทังความหิวให้ลูกได้ เมื่อเอามือคลำไปในกระเป๋าก็พบของแข็งมีคมอย่างหนึ่งนั่นคือมีด เธอจึงได้หยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา เธอคิดว่านี่คงเป็นวิธีสุดท้ายที่ช่วยให้ลูกมีชีวิตรอดอยู่ ต่อไป ได้
     ในขณะที่ลูกกำลังร้องอยู่นั้น มือของเธอกำมีดแน่นแล้วรำพึงกับลูกว่า "ลูกจ๋า ! ถึงแม่จะหาน้ำให้ลูกดื่มไม่ได้แต่แม่ก็ยินดีที่จะสละเลือดในกายของแม่ให้ เจ้าดื่มกินแทนน้ำเพื่อคลายหิวได้" แล้วเธอจึงคว้ามีดเล่มนั้นกรีดลงไปที่ข้อมือ ของ ตนเอง
     เมื่อ เลือดไหลออกมา เธอก็รีบประคองปากแผลนั้นแตะลงไปที่ปากน้อย ๆ ของลูก ด้วยความไร้เดียงสาและความหิวกระหาย เด็กน้อยจึงได้ดูดดื่มเข้าไปโดยหารู้ไม่ว่าหยดน้ำที่มาแตะปากของตนนั้นคือ เลือดในกายของแม่เนื่องจากแม่ได้เสียเลือดไปมากจึงทำให้ร่างกายนั้นอ่อนล้า จนในที่สุดเธอก็เป็นลมหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาเห็นลูกน้อยยังมีชีวิตอยู่ก็ดีใจรำพึงว่า "ถึงเลือดในกายของแม่จะเหือดแห้งไปจนหมด แต่ขออย่าให้ชีวิตที่แม่รักแม่ถนอมต้องจากไปเลย แม่ยินดีสละแม้ชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อให้ลูกได้มีชีวิตรอดปลอดภย"
     ในที่สุดเรือลำนั้นก็ถูกคลื่นซัดเข้าสู่ฝั่ง เมื่อถึงฝั่งทุกคนต่างพยายามตะเกียกตะกายลงจากเรือ เหลือเพียงแม่ลูกคู่นั้นที่ไม่มีใครสนใจ ถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง หญิงผู้เป็นแม่ได้พยายามประคองลูกน้อยลงจากเรือด้วยความทุลักทุเล มองไปทางไหนก็ไม่มีใครสักคนที่จะช่วยเหลือได้ด้วยความอ่อนเพลียเพราะเสียเลือดไปมากและอดอาหารมาหลายวัน จึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพยุงกายตนให้ลุกขึ้นมาได้
     ส่วนลูกนั้นก็คลานออกห่างแม่ไป แม้แม่พยายามจะรั้งลูกไว้ แต่บัดนี้หูตาของผู้เป็นแม่เริ่มพร่ามัวแทบสิ้นใจอยู่แล้ว ก่อนที่เธอจะสิ้นลมได้ฝากฝังลูกกับพระแม่ธรณีเป็นครั้งสุดท้ายว่า "แม่ธรณีจ๋า ! ฉันไม่อาจอยู่เลี้ยงดูลูกคนนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ชีวิตฉันคงสิ้นลงเพียงแค่นี้ ขอฝากลูกไว้กับแม่ธรณี ขอแม่ธรณีโปรดคุ้มครองรักษาดูแลลูกแทนฉันด้วยเถิด" แล้วเธอก็สิ้นใจลงที่ตรงนั้น
     เย็น วันนั้น มีชาวประมงคนหนึ่ง นำเรือเข้าฝั่ง ได้เห็นเด็กน้อย กำลังร้องไห้ คลานอยู่ เพียงลำพังจึงได้เข้าไป อุ้มขึ้นมา และได้เห็นเลือดติดอยู่ที่ปากของ เด็ก จึงนึกเอะใจว่าคง จะเกิดเรื่องขึ้นในแถวนี้ เป็นแน่ จึงได้เดินดูบริเวณใกล้ๆที่เด็กคลานอยู่ สักครู่หนึ่งก็ได้พบศพของผู้หญิงคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างหัวเรือจึงได้ พลิกศพของหญิงนั้นหงายขึ้น ก็ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นที่ข้อมือมีรอยบาดแผลและคราบเลือดติดอยู่ ซึ่งเลือดที่ข้อมือนั้นก็เป็นเลือดเดียวกับเลือดที่ติดปากของเด็ก จึงทำให้ชาวประมงสันนิษฐานว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นแม่ของเด็กอย่างแน่นอน เธอคงจะรอนแรมหลงทางมาในกลางทะเลจนน้ำและอาหารหมด ด้วยความรักและสงสารลูก นางคงสละเลือดในกายตนเพื่อให้ลูกได้คลายหิวเป็นแน่
     ครั้น แล้วชาวประมงได้รำพึงขึ้นว่าโอ้ ! นางช่างเป็นแม่ผู้มีน้ำใจประเสริฐยิ่งนักแม้ในโลกนี้อาจมีหญิงมากมายที่รัก ลูกของตนยิ่งกว่าชีวิต แต่หญิงผู้นี้ได้เสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อรักษาชีวิตลูกไว้ให้อยู่รอด ปลอดภัย นางเป็นแม่ผู้มีน้ำใจแสนประเสริฐยิ่งนัก ขอให้เธอจงไปสู่สุขคติเถิด ฉันจะเป็นผู้เลี้ยงดูลูกของเธอ ให้ความรักความเอาใจใส่ให้สมกับเมื่อครั้งที่เธอมีชีวิตอยู่ ได้พยายามเลี้ยงลูกของเธอด้วยความทุถนอมรักใคร่อย่างดีฉันจะเลี้ยงลูกของเธอ ให้ดีที่สุด แล้วชาวประมงนั้นก็ได้พาเด็กน้อยกลับไปเลี้ยงดู
     เมื่อเด็กโตขึ้นก็ ได้รบเร้าถามชาวประมง ว่า "ลุงจ๋า ! หนูคิดถึง แม่เหลือเกิน ลุงพอจะ หรือ เปล่าว่าแม่ของ หนูอยู่ที่ไหน หนูอยาก จะพบอยากอยู่ใกล้ๆ แม่ หนูอยากจะเรียก แม่ ลุงช่วยพาหนูไปหา แม่หน่อยได้ไม๊จ๊ะ "
     ชาวประมงเห็นว่า เด็กคนนี้โตพอที่จะรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเองได้แล้ว จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และพาเด็กน้อยไปที่หลุมฝังศพของมารดา เมื่อไปถึงหลุมฝังศพเด็กน้อยก็โผเข้าไปกอดหลุมฝังศพ พร้อมกับร้องไห้รำพึงรำพันว่า "แม่จ๋า ! ทำไมแม่จึงได้จากลูกไปเร็วเช่นนี้ทำไมไม่มีโอกาสอยู่ให้ลูกได้ทำหน้าที่ตอบ แทน แม่เป็นผู้ที่เสียสละให้ลูกฝ่ายเดียว แล้วเมื่อไรลูกจึงจะมีโอกาสได้ทดแทนพระคุณของแม่บ้าง"
     เมื่อชาวประมงเห็นว่าหนูน้อยคร่ำครวญอยู่นานแล้วจึงได้ไปรั้งร่างของ หนูน้อยขึ้นมา ลูบหลังลูบไหล่พูดปลอบใจว่า "เอาเถอะ ! ถึงแม่เจ้าจะสิ้นไปแล้ว ถ้าเจ้าคิดจะตอบแทนล่ะก็ ขอให้เจ้าจงมุ่งมั่นในความดี ทำความดีทุกวิถีทางในชีวิตของเจ้า เมื่อขณะที่เจ้าร่ำเรียน ก็ขอให้เรียนให้ดีที่สุด เมื่อเจ้าโตจะทำกิจการงานใดก็ขอให้เจ้าจงทำงานในหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด และเมื่อเข้าจะบวชเรียนก็ขอให้เจ้าบำเพ็ญให้ดีที่สุด เมื่อแม่ของเจ้ารับรู้อยู่ด้วยญาณวิถีอันใดก็คงจะชื่นใจที่สุดในการให้ กำเนิด ในการประคับประคองปกป้อง ยอมสละชีวิตเพื่อเจ้า จนสามารถอยู่รอดมาได้จวบจนทุกวันนี้ แม่ของเจ้าคงจะปลื้มใจอยู่ในสุคติโลกสวรรค์ถึงแม้แม่เจ้าจะ ไม่มีชีวิตอยู่ แต่เจ้าก็ยังสามารถทำความดีให้นางรับรู้ได้"

No comments:

Post a Comment