Friday

พระในบ้าน อีกเล่มหนึ่ง


ลูกศิษย์นอกครู
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกหนี้ของพ่อแม่ และพ่อแม่เป็น พ่อครู แม่ครูและเป็นพระอาจารย์เคยเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนมาจนได้ดีนี่แหละ บางทีเราก็ลืมนึกถึงท่านเหมือนกัน ที่ลืมนั้นมันเป็นเพราะมีอะไรสักอย่างมาบังตาบังใจทำให้ ใจบอดไปชั่วระยะหนึ่ง หากไม่เปิดสิ่งบังตา สะกิดสิ่งบังใจออกแล้ว ก็อาจคิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ไม่มีข้อพันธะผูกพันอะไรกับพ่อแม่อีกแล้วโตแล้ว พ่อแม่ก็หมดความหมายอะไรทำนองนี้ คือ ลืมพ่อลืมแม่ได้จริงๆ การลืมพ่อแม่ทำนองว่าท่านมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้เอาใจใส่ท่านนี่ก็พอทำเนา ยังพอคิดแก้ไขได้ ตอนหลังอาจกลับใจตั้งสติระลึกถึงท่านได้ แต่การลืมบุญคุณของท่านนี่สิร้ายนัก บางทีบอกก็แล้วเดือนก็แล้ว ยังนึกไม่ออก ยังแลไม่เห็น หรือนึกออกแต่ก็เพียงรู้เท่านั้น มิได้เกิดความซาบซึ้งหรือเกิดความคิดที่จะตอบแทนพระคุณท่านเลยอย่างนี้แหละร้ายที่สุด และดูเหมือนว่าจะแรงด้วย คนที่ลืมบุญคุณของพ่อแม่นั้นเราจะหาดูได้ไม่ยากนัก อย่างมีเล่ากันว่า มีครอบครัวหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านชนบท ค่อนข้างห่างความเจริญ สองสามีภรรยาหัวหน้าครอบครัว มีอาชีพในทางทำไร่ พอมีพอกินไปวันๆ แบบ ทำมาหากินคือ ทำมาได้ หากินหมดจริงๆ ไม่พอที่จะเหลือเก็บ นอกจากพอประทังชีพสองคนและลูกชายเล็กอีกคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อลูกโตพอที่จะเรียนหนังสือได้แล้ว ก็พาไปฝากเข้าโรงเรียนที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ด้วยในหมู่บ้านของตัวยังไม่มีโรงเรียน ตอนเช้ามืดแม่ต้องลุกหุงหาอาหารแล้วจัดเตรียมใส่หม้อดินเล็กๆ เพื่อเป็น อาหารมื้อกลางวันสำหรับลูกที่โรงเรียน แล้วก็พาลูกหอบหิ้วหนังสือและอาหารมื้อนั้นไปส่งที่โรงเรียนแล้วกลับมาช่วยพ่ทำ งานไร่ต่อ ตกเย็นพ่อมีหน้าที่ไปรับลูกกลับจากโรงเรียน ทั้งสองทำอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งลูกเรียนจบชั้นประถมปีที่สี่อันเป็นชั้นสูงของโรงเรียน จะให้ลูกเรียนต่อในเมืองก็ไม่มีปัญญาจะส่งเสีย ทั้งลูกก็ไม่อยากจะเรียนต่อด้วย พอออกจากโรงเรียนแล้วก็มาอยู่ช่วยพ่อแม่ทำงานไร่บ้างตามกำลังจนเติบโต ความที่พ่อแม่ตามใจและรักมาตั้งแต่เล็กๆ เขาจึงค่อนข้างเกียจคร้าน ชอบเที่ยวเตร่ คบเพื่อต่างหมู่บ้านไม่เลือกหน้า ถึงกระนั้นพ่อแม่ก็ไม่กล้าต่อว่าเพราะตัวเอง ยังมีกำลังทำงานได้ต่อมาพ่อเป็นโรคลำไส้รักษาด้วยยากกลางบ้านตามที่ตามเกิด และก็ไม่หาย หนักเข้าก็ต้องสิ้นพ่อไปคนหนึ่ง ฝ่ายแม่ก็อดทนหาเลี้ยงลูกมาจนกระทั่งลูกไปมีครอบครัวอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างกันพอสมควรโดยอาศัย รูปร่างดีเป็นเครื่องประกอบ จึงได้ภรรยาที่พอมีอันจะกิน ซ้ำยังเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงอยู่ดีกินดีขึ้นกว่าเก่า เมื่อสบายเสียแล้ว เขาจึงลืมคนอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่เดิม คือแม่ของเขานั้นเอง เขาไม่เคยไปหาแม่หรือส่งข่าวไปให้แม่ทราบเลยนับจากเดือนเป็นปี เข้าตำราหลงเมียลืมแม่ก็คงจะได้อยู่ ฝ่ายแม่เมื่อลูกชายไปมีภรรยาแล้วหายเงียบไปไม่มาหาเลย ทนคิดถึงลูกไม่ไหวก็ไปหาลูกชาย เขาต้อนรับแม่ดีในตอนแรกๆ แต่พอบ่อยเข้า ก็เกิดความรำคาญแม่ที่มาให้เห็นหน้าบ่อยๆ ต่อมาแม่เกิดป่วยขึ้นทำงานก็ไม่ได้ เงินที่พอมีเก็บเล็กๆ น้อยๆ ก็เอามาซื้อยารักษาโรค เงินหมดโรคก็ยังไม่หาย จำต้องหอบสังขารไปหาลูกชาย หวังมาฝากมีฝากไข้กลับพูดเป็นทำนองให้รู้ว่า ตนเองไม่อยากจะให้แม่อยู่ด้วย แม่ก็เลยพูดไม่ออก บอกว่าจะมาอยู่ด้วยไม่ได้ ได้แต่มองตาลูก ลูกก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย แม่ก็บอกว่าไหนๆ บากหน้ามาแล้ว เมื่อลูกมันไม่รักษา ไม่เลี้ยงก็ไม่เป็นไร ขอไปรักษาที่อื่น แต่เงินไม่มีนี่สิจะขอลูกก็คงไม่ให้ ตัดใจขอยืมลูกไปก่อน วันหลังหายแล้วคงหามาใช้ได้ ฝ่ายลูกก็โยกโย้ว่าเงินจำนวนนี้เป็นของเมีย ยืมแล้วต้องทำสัญญาเดี๋ยวเมียจะว่าเอาได้ แม่ก็ต้องยอมกล้ำกลืนทำสัญญากันไว้ เมื่อได้เงินแล้วก็เข้ารักษา แต่โรคคนแก่ผสมกับโรคทางกายที่ทรุดโทรมเพราะกรำงานหนัก และโรคทางใจที่ลูกไม่แยแส จึงทรุดโทรมลงๆ เงินทองที่มีอยู่ก็หมดไปจำต้องกลับบ้านอาศัยเพื่อนบ้านช่วยดูแลบ้าง ให้ข้าวให้น้ำพอประทังไปได้วันๆ หนักเข้าๆ แทนที่จะตาย โรคกลับทุเลาพอไปไหนมาไหนได้และพอมีกำลังงานไปเก็บพืชผลในไร่มาขายได้ เรียกว่าโรคเวรโรคกรรมมันยังไม่หมด ว่างั้นเถอะ ต่อมาเงินเกิดขาดมืออีก เพราะพืชผลในไร่เสียหายจำต้องเอาที่ดินผืนเล็กๆ นั้นไปขายฝากไว้กับเพื่อนบ้าน เอาเงินมาเลี้ยงตัวจะมีเงินใช้หนี้ได้บ้าง จึงมาทวงแม่ แม่ก็บอกว่า ตอนนี้เงินพอมีแต่ต้องการเก็บไว้ซื้อข้าวกินบ้าง เมื่อไม่ได้ลูกชายก็กลับไป วันหลังมาทวงอีก แม่ก็เลยบอกว่าไม่มีส่งไปเลย เจ้าลูกชายก็บอกแม่ว่า แม่อย่าโกงก็แล้วกัน ถ้าโกงเมื่อไหร่จะฟ้องร้อง เมื่อได้ยินลูกว่าเช่นนั้น ความอดกลั้นที่มีอยู่มัน ไม่รู้หายไปไหนหมด แม่ก็บอกลูกไปว่าข้าไม่มีเงินแล้วตอนนี้ และข้าก็จะไม่ใช้เอ็งด้วย เอ็งจะไปฟ้องร้องหรือ เอาข้าไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหนก็ตามใจเถอะอนิจจา! ลูกผู้ถูกแม่พูดด้วยน้ำตานองหน้าอย่างนี้แทนที่จะรู้สึกหรือเลิกแล้วกันไป กลับไปหากำนันแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังพร้อมทั้งกำชับกำนันให้จัดการเอาเงินคืนให้ด้วยลูกจัญไรพรรค์นี้ก็มีด้วยกำนันคิด เพราะเป็นคนยุติธรรม และเป็นคนตรงเลยบอกว่าเอาละ เงินจำนวนนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยทั้งหมด ข้าจะให้เองแทนแม่เอ็งทั้งหมด แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง" เมื่อเขาได้ยินกำนันพูดเช่นนั้นก็ดีใจขึ้นอักโข เงินคงได้คืนมาแน่ จึงรีบรับปากกับกำนันว่าจะทำตามข้อแม้ทุกอย่าง ข้อแม้ของข้าคือ นับจากนี้เป็นต้นไป ให้เอ็งมาหาข้าทุกเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ข้าจะทำถุงเล็กๆ ใบหนึ่งให้เอ็งผูกไว้ที่เอวข้างหน้า และถุงนี้เอ็งต้องผูกไว้เป็นประจำตลอดเดือน ห้ามเอาออกเด็ดขาดทั้งเวลากิน เวลาเดิน เวลานั่งนอน หรือแม้จะอาบน้ำ เข้าส้วมอะไรก็แล้วแต่ เวลาเอ็งมาหาข้า ข้าจะให้ก้อนหินขนาดเท่าลูกพรุทราไว้ในถุงวันละก้อนๆ เพื่อดูว่าเอ็งมาหาข้าได้กี่วันแล้ว และก้อนหินนี่ ห้ามเอาออกจากถุงทุกเวลาเหมือนกัน ห้ามตบตาข้าด้วย ถ้าข้ารู้เข้า ข้าจะไม่ยอม ให้เงินเอ็งเลยสักบาทเดียว เพราะถือว่าเอ็งผิดสัญญา แค่นี้เอ็งทำได้ไหม” “เรื่องเล็ก!เขาคิดแค่นี้ทำไมจะไม่ได้ ระยะทางมาที่นี่กิโลกว่าๆ เท่านั้น มาหากำนันเท่ากับเดินออกกำลังตอนเช้าไปในตัว เพื่อแลกกับเงินที่แม่ยืมกลับคืนมา ทั้งต้นทั้งดอกที่กำนันจะให้ตั้งสองพันกว่า พอคุ้มกันแล้ว ดีกว่าไปทำงาน รับจ้างเขาเสียด้วยซ้ำคิดเช่นนี้จึงตกปากรับคำทันที คนเห็นแก่เงิน ย่อมเห็นเงินสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลัง รุ่งขึ้นอีกวัน เขามาหากำนันแต่เช้า กำนันก็มอบถุงใบหนึ่งใบผูกสะเองเขาไว้ แล้วเอาก้อนหินใส่ไว้ในถุงเป็นประเดิมหนึ่งก้อน โดยไม่ต้องหาพระมาชะยันโตเอาฤกษ์ให้เสียเวลา เขาก็กลับไปบ้านเล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็ไม่ว่ากระไร เขาทำเช่นนี้ได้ประมาณหากเจ็ดวัน ความอึดอันเริ่มจู่โจมเข้ามาทีละน้อยๆ ตอนแรกก็ไม่รู้สึกต่อมาเมื่อก้อนหินมีหลายก้อนเข้า เวลาเดินไปไหนมาไหน แม้จะเอาชายเสื้อคลุมถุงไว้แล้วมันก็ยังนุนออกมาแถมหินกระทบกันดังกรุ๊ก กริ๊กๆ ตลอดเวลา รำคาญหู เวลานอนก็ต้องนอนตะแคงจะนอนหงายก็ไม่ถนัด ถุงหินมันทับอยู่บนท้อง นอนคว่ำก็ไม่ได้ ที่ลำบากที่สุดก็คือ เวลาเช้าส้วมดูมันทุลักทุเลชอบกล แต่ความอยากได้เงินคืน จำต้องทนเอา ไหนๆ ก็ทนมาได้ตั้งอาทิตย์แล้วทนเอาอีกหน่อยเถอะน่า เขาปลอบใจตัวเอง สิบวันผ่านไป ความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นตามลำดับ ความอดกลั้นต่อความรำคาญชักหมดไปทุกขณะ สิบห้าวันยังไม่ทันพ้น ความอดทนก็ถึงขีดสุด! เขาก็รีบจ้ำไปหากำนันในตอนเย็นวันนั้นเลยกำนัน เห็นเข้าก็รู้ทีเดียว แต่ก็แกล้งถาม อ้าว! มาทำไมอีก ก็เมื่อเช้ามาทีแล้วนี่นา” “เอ้อ ผมมาคืนถุงกำนันครับเขากล่าวอ่อยๆเอ...มันยังไม่ครบเดือนนานี่เพิ่งได้สิบห้าวันเท่านั้นยังไม่หมดสัญญานี่ คืนได้เรอะ” “ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ต้องคืนแน่” “เอา! คืนก็คืน แต่เงินข้าไม่จ่ายให้นะบอกกันก่อนเพราะเอ็งผิดสัญญา” “ครับ เงินผมไม่อยากได้แล้ว มันรำคาญเต็มทีเวลากินเวลานอน มันทรมานเหลือเกินยิ่งเวลาเข้าส้วมด้วยแล้วอย่าบอกใครเลยกำนันว่าแล้ว ก็รีบแก้ถุงจากเอวส่งให้กำนัน แหม...เอาออกเสียได้ ผมโล่งใจขึ้นอีกเยอะเชียวเขาบ่นเบาๆ กำนันได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็นึกว่า ได้การละคราวนี้ ได้ทีแล้วขี่ม้าไล่เสียเลยจะได้เร็วดี ขี่แพะมันช้าไป เฮ้ย! นั่งลงก่อนซี ดื่มน้ำดื่มท่าให้สบายเสียก่อนแล้วฟังข้า ข้าจะพูดให้เอ็งฟังคืองี้นะ เอ็งผูกถุงหินไว้ที่หน้าท้องแค่สิบห้าวันเท่านั้น เอ็งบ่นว่าทรมาน รำคาญเหลือเกินแล้วอยากจะเอาออกเสีย ตอนเอ็งอยู่ในท้องแม่เอ็งนะเอ็งโตทุกวันๆ แม่เอ็งก็อุ้มเอ็งอยู่ได้ตั้งเก้าเดือนสิบเดือน ทำไมแก่ไม่เห็นจะบ่นทุกข์ทรมานหรือรำคาญเลย ไม่ว่าแม่เอ็งจะไปไหน จะทำอะไรเอ็งจะต้องติดท้องแม่เอ็งไปด้วยตลอดเวลา ตอนนั้นนะเอ็งลองคิดดูทีหรือว่าแม่เอ็งจะรำคาญ หรือทุกข์ทรมานแค่ไหน ตั้งสิบเดือนเชียวนะกำนัน หยุดนิ่งมองดูเขานิดหนึ่ง เมื่อเขาไม่พูดอะไรกำนันก็พูดต่อ แม่เอ็งลำบากลำบนเพราะเอ็งไม่รู้เท่าไหร่ เอ็งเคยคิดบ้างไหมในท้องสิบเดือน นะมันน้อยไปด้วยซ้ำ กว่าจะเลี้ยงเอ็งโตมานี่ แม่เอ็งต้องเสียข้าวเสียน้ำไปเท่าไหร่ กว่าเอ็งจะอ่านออกเขียนได้ เป็นผู้เป็นคนมากับเขาได้นี่ แม่เอ็งต้องเทียวรับเทียวส่งเอ็งไปโรงเรียนกี่ปีเสียแรง เสียเงินไปเท่าไรเอ็งคิดดูเอาเอง ข้ารู้มา แม่เอ็งน่ะลำบาก มากเพราะเอ็งคนเดียว แค่แกยืมเงินเอ็งมาแค่สองพันบาทเท่านั้น เอ็งจะเอาเป็นเอาตายกับแกทีเดียว เงินแค่นี้น่ะมันไม่คุ้มกับค่าเลี้ยงดูเอ็งมาปีเดียวเสียด้วยซ้ำ ถ้าแม่เอ็งแกเรียกร้องค่าเลี้ยงดูจากเอ็งนะ เอ็งเอ๋ยชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็ทำใช้แกไม่หมดหรอก แต่แกก็ไม่เคยเรียกร้องเอาจากเอ็งเลยสักแดงเดียว แม้อยากจะได้ก็ขอยืมเอา แล้วเอ็งจะเอาไงกะแกอีกเล่า ถ้ายังอยากจะได้เงินจาก แม่เอ็งอีกก็อย่าไปเอากะแกเลยแกแก่แล้ว ข้าจะใช้ให้เอ็งเอาไหมเขายังนิ่งเหมือนเดิมกำนันก็เลยลำนำคำกลอนให้เขาฟังเรื่อยๆ รักใดเล่า รักแน่ เท่าแม่รัก ผูกสมัคร ลูกมั่น มิหวั่นไหว ห่วงใดเล่า เท่าห่วง ดังดวงใจ ที่แม่ให้ กับลูก อยู่ทุกครา ยามลูกชื่น แม่ขม ตรมหลายเท่า ยามลูกเศร้า แม่โศก วิโยคกว่า ยามลูกหาย แม่ห่วง คอยดวงตา ยามลูกมา แม่หมด ลดห่วงใยกำนันว่าอย่างไรเขาไม่รู้อีกแล้ว และเขาก็ไม่รู้ว่าก่อนลงจากบ้านกำนันนั้น เขาได้ลาหรือไหว้กำนันบ้างหรือเปล่ามารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อตัวเอง โผเข้าอยู่ในอ้อมอกของแม่เสียแล้ว เรื่องนี้มันเหมือนกับเรื่องนิทาน แต่ก็เกิดขึ้นกับชีวิตจริงจึงอาจเป็นนิทานชีวิตก็ได้ และที่เล่านิทานเรื่องนี้มาก็มิได้ตั้งใจจะสอนให้รู้ว่าอะไรทั้งสิ้น

No comments:

Post a Comment