Friday

พระในบ้าน อีกเล่มหนึ่ง

การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่
การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่ให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างนี้ยังหาเพียงพอที่จะเปลื้องหนี้ที่ ท่านเคยให้เราไม่ เพราะหนี้ของท่านที่มีต่อเรานั้น เป็นหนี้ชนิดที่ไม่ใช่เพียงท่วมบ่าท่วมหูเท่านั้น แต่เป็นหนี้ชนิดท่วมหัวทีเดียว เราจะทดแทนเพียงเล็กน้อยหาคุ้มไม่เลี้ยงกายท่านยังไม่พอ ยังต้องเลี้ยงน้ำใจท่านควบคู่กันไปด้วย การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ก็คือ การไม่ทำให้พ่อแม่ช้ำใจเสียใจ หรือถึงกับน้ำตาตกเพราะเรา การที่เราผู้เป็นลูกประพฤติตนตามคำแนะนำตักเตือนของท่าน เป็นคนอ่อนน้อม ไม่หัวดื้อถือรั้นสัมมาคารวะ รักเคารพท่านทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ถือโทษโกรธเคือง หรือแสดงความไม่พอใจออกให้ท่านเห็นให้ท่านน้อยใจ โดยถือว่าท่านเป็นพระจริงๆ การพูดจาหรือการแสดงกิริยาอื่นก็ออกมาด้วย ความยำเกรง มีความยกย่องนับถืออยู่ในที การประพฤติปฏิบัติตนของเราอย่างนี้ ย่อมจะนำความแช่มชื้นเบิกบานใจและความพอใจมาสู่ท่านได้ เพราะพ่อแม่นั้นพอเห็นลูกเชื่อถ้อยฟังคำเท่านั้นก็เป็นอันหมดห่วงได้เปลาะ หนึ่ง ความกังวลว่าลูกจะไม่ดีดังใจนึก ความกลัวว่าลูกจะลำบากลำบนในวันหน้าจะหมดไป เมื่อท่านหมดห่วงใยเรา ท่านก็กินได้นอนหลับจิตใจก็พลอยสบายไปด้วย เป็นการต่ออายุท่านได้เสียด้วย จริงอยู่บางทีเราอาจจะอยู่ห่างพ่อแม่ด้วยไปมีครอบครัวอยู่ที่อื่นไปอยู่ทำ งานในที่ไกลๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเลี้ยงร่างกายท่าน นานๆ จึงจะได้กลับมาหาท่านที นานๆ จึงจะได้ส่งของมาให้ท่านครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าได้คิดวิตกกังวลว่าจะไม่ได้ทดแทนคุณท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน แต่การเลี้ยงจิตใจท่านนี้แหละก็ทดแทนได้เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ประพฤติตัวให้ดีที่นั่น อยู่ที่ไหนทำชื่อเสียงไว้ที่นั่น อยู่ที่ไหนวางตัวให้เหมาะสม ทำตัวให้เขารักให้เขานับถือในที่นั่น โดยหมั่นนึกและทำตามคำแนะนำของพ่อแม่เสมอๆ เท่านี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว ที่ว่าดีในที่นี้ คือ ดีสำหรับตัวเองด้วย ดีสำหรับพ่อแม่ด้วยคือ แม้พ่อแม่จะอยู่ห่างลูก แต่ความดีที่ลูกทำไว้จะขจรขจายไปถึงหูท่านเอง เพราะขึ้นชื่อว่า กลิ่นของความดีนี่สามารถฟุ้งได้ ได้ทั้งตามลม และทวนลม ดีกว่ากลิ่นอื่นๆ ในโลก เมื่อท่านได้ยินเข้าก็จะปลื้มใจสบายใจหายห่วงว่าลูกอยู่ดีมีสุขแล้ว พร้อมกันก็อาจจะอวยชัยให้พรเราให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เราอยู่ที่ไหนก็เท่ากับเอาพ่อแม่ติดตัวไปด้วย แม้จะเป็นเพียงคำเตือนคำสอนของท่านก็ยังดี หรืออยู่ไกลไม่อาจจะอยู่ใกล้ชิดได้ นานๆ ก็มาหาท่านบ้างมาเยี่ยมเยียน ถามไถ่สุขทุกข์ท่านบ้างตามโอกาสยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาดูแลรักษาท่าน หรือ ทำประการอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดความสบายใจ การทำเช่นนี้เป็นการเลี้ยงจิตใจท่านทั้งนั้น และเป็นการสนองความหวังของท่าน เพราะพ่อแม่น้นอุตส่าห์เลี้ยงเรามา ก็เพื่อประสงค์ว่า ยามมีกิจ หวังให้เจ้า เฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้ หวังให้เจ้า เฝ้ารักษา ยามถึงคราว ล่วงลับ ดับชีวา หวังให้เจ้า ปิดตา เวลาตายฯ รวมความว่า การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ก็คือ การทำอย่างไรก็ได้ จะให้ท่านเกิดความเบิกบานใจ ไม่ทุกข์กังวลเดือดร้อนหรือไม่สบายใจเพราะการกระทำของเรา เพราะเราเป็นต้นเหตุ และการเลี้ยงแบบหลังนี่ สำคัญกว่าการเลี้ยงร่างกายนัก เพราะพ่อแม่นั้นแม่จะกินอิ่มนอนอุ่นเพียงไร หากเกิดความไม่สบายใจต้องแอบร้องไห้เพราะลูก ลูกไม่เคยเอาตาดูเอาหูใส่ ไม่เคยคำนึงถึงท่าน แทบจะลืมว่ามีท่านอยู่ในโลกนี้ด้วย หรือชอบทำตัวเหลวไหล ไม่เชื่อฟังคำเตือน ชอบก่อเรื่องวุ่นวายให้ท่านกระเทือนจิตใจไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเป็นเช่นนี้เลี้ยงร่างกายจะได้ประโยชน์อะไร หากใจไม่เป็นสุขเสียอย่าง แม้กินก็กินไม่ได้ แม้นอนก็นอนไม่หลับ แล้วร่างกายจะทนไหวหรือ เลี้ยงจิตใจพ่อแม่ยากอย่างนี้ แต่ก็สมควรแล้วที่เราผู้เป็นลูกจะพึงเลี้ยงได้มิใช่หรือ ตอนที่เราเป็นเด็กเราดื้อก็เท่านั้น โกงก็เท่านั้น เอาใจยากสารพัด พ่อแม่ยังอดทน ตามใจเราเลี้ยงน้ำใจเราจนเติบใหญ่มาได้ ทีเราจะเลี้ยงเอาใจท่านบ้างมิได้เชียวหรือ แต่ผู้ที่จะเลี้ยงพ่อแม่ได้นั้น ก่อนอื่นต้องรู้จักธรรมชาติของคนแก่ด้วย หากไม่รู้กันเสียก่อนก็อาจเลี้ยงไม่ได้ หรือเลี้ยงได้แต่ไม่นานนัก จะเกิดความเบื่อหน่าย ชิงชังขึ้นมากลางคัน แล้วจะบ่นว่าคนแก่เอาใจยากและเลี้ยงยาก ขึ้นชื่อว่าคนแก่แล้วย่อมเป็นเหมือนๆ กันหมด เพราะเป็นธรรมดาของคนแก่ คือ จู้จี้ ขี้บ่น จุกจิก หลงลืม ขี้รำคาญ เห็นลูกเห็นหลานทำอะไรเป็นขวางหูขวางตาไปหมด คือมักไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจอยู่ร่ำไป ทั้งจะทำอะไรให้ถูกใจท่านยากด้วย เพราะการปรับใจปรับอารมณ์ของคนแก่ๆ นั้น ไม่ไวไฟเหมือนกับตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวหรืออายุยังน้อย ทั้งนี้เพราะมีความคิดละเอียดสุขุมรอบคอบขึ้น ไม่ตกอยู่ในอารมณ์อื่นได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้แหละ คนรุ่นใหม่จึงชอบขนานนามคนเก่าคนแก่ว่าเป็น ไดโนเสาร์หรือเต่าพันปีอะไรทำนองนี้ ก็จริงของเขา อย่าได้ไปว่าเด็กเลย? และก็จริงอีกเหมือนกัน ที่เด็กรุ่นใหม่ที่เคยว่าเป็นอย่างนั้นมาแล้ว พอตัวเองแก่ตัวลงไป ความคิดความอ่านก็จะพลอยแก่ไปด้วย ก็จะตกอยู่ในสถานะอย่างที่ตัวเคยว่าเขามาแล้วนั่นแหละเป็นทอดๆ กันไปทำนอง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง นั่นเทียว ที่ว่าควรรู้จักคนแก่ให้ดีก็คือ ควรรู้ธรรมชาติของคนแก่เช่นนี้ พอรู้แล้วจะได้มีความเห็นว่าที่คนแก่จู้จี้ ขี้บ่น หรือเอาใจยากนั้นเป็นธรรมดา ไม่ได้จริงจังอะไรนัก จะถือเอาเป็นอารมณ์จนเกินไปไม่ได้หรืออย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังจนถึงกับเห็นท่านทำอย่างนั้นแล้ว โกรธเคืองไม่พอใจ และถกเถียงท่าเลย ทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟโกรธให้คนแก่ไปเสีย การเลี้ยงคนแก่ต้องอดต้องทนท่านก็บ่นของท่านไปตามเรื่อง ท่านว่า จะเลี้ยงคนแก่ได้ดีต้องพก พระปิดทวารจึงจะเลี้ยง ได้ ท่านให้พกพระปิดทวารนั้น ท่านเปรียบให้เห็นว่าต้องทำตัวให้เหมือนกับพระปิดทวาร ซึ่งพระปิดทวารนั้นท่านปิดอวัยวะรับรู้อารมณ์ทั้งหลายหมด ท่านปิดไว้มิดชิดดีนัก คือ ท่านปิดตา ปิดหู และปิดปาก ไว้ไม่ให้ตาเห็น ไม่ให้หูได้ยิน ไม่ให้ปากพูดที่ให้พกพระแบบนี้เข้าไว้ เท่ากับท่านสอนให้ดูพระปิดทวารเป็นตัวอย่าง แล้วทำอย่างท่านบ้าง คือ ปิดหู ปิดตา ปิดปากบ้าง เพื่อทำให้จำง่ายๆ ถึงกับบอกไว้เป็นตำราว่า - ปิดตาทั้งคู่ ปิดหูสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นั่งนอนสบาย - ปิดตาทั้งคู่ เปิดหูสองข้าง ไม่ปิดปากเสียบ้าง เป็นทุกข์จนตาย คนเรานั้น บางครั้งแม้ตาจะไม่บอดก็ต้องทำเป็นตาบอดเสียบ้าง หูไม่หนวกก็ต้องทำเป็นหนวกเสียบ้าง ไม่ได้เป็นใบ้ ก็ต้องทำเป็นเหมือนใบ้เสียบ้าง เพื่อปิดกั้นอารมณ์ภายนอกไม่ให้เข้ากระทบใจให้กระเทือนใจได้ เลี้ยงคนแก่ก็ทำใจให้หนักแน่นและบางครั้งก็ต้องปิดตา ปิดหู ปิดปาก อย่างนี้จึงจะเลี้ยงท่านได้ เมื่อทำได้นอกจากจะเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้วยังนั่งนอนสบาย ไม่รำคาญใจเมื่อได้เห็นได้ยินท่านบ่น หรือทำไม่ถูกใจเพราะหลงๆ ลืมๆ ด้วย โดยมาคิดเห็นว่านั่นเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของคนแก่ ท่านจู้จี้นักก็ทนฟังท่านไปสักครู่ ท่านเหนื่อยท่านก็หยุดเอง ท่านจะมานั่งบ่นเราได้ทั้งวันทั้งคือเมื่อไร ท่านจะเอาแรงที่ไหนมา สำคัญตอนฟังอยู่นั้นอย่าให้พระปิดทวารหลุดหายไปได้เป็นดี หากหล่นหายเสีย เกิดเปิดตาเปิดหูขึ้นมาก็พอทำเนา หากเปิดปากขึ้นมาบ้าง คราวนี้แหละไฟประลัยกัลป์เชียวลุ?

No comments:

Post a Comment