Friday

พระในบ้าน

    มี เรื่องที่เล่าลือกันมาว่า มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญสุนทาน ทุก ๆ เช้าคุณนายออกมาใส่บาตรหลังจากนั้นก็จัดเตรียมสำรับกับข้าวที่บรรจงทำอย่าง ปราณีตเพื่อนำไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสเพราะมีความเคาารพนับถือในจริยวัตรของท่านและชอบฟังท่าน สนทนาหรือเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง หากมีเวลาว่างหลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้ว คุณนายเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวันอยู่คุยกับสมเด็จท่านพอสมควร แล้วก็กราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้เป็นประจำ
     วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเรียนถวายว่า "คุณนายคนนี้ช่างใจบุญเสียจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ มีแม่อยู่คนนึงก็ปล่อยให้อดๆ อยากๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ห้องแคบๆหลังบ้าน ส่วนตัวเองและลูกๆ อยู่บนตึกใหญ่อย่างสุขสบายเวลาพูดจากับแม่ก็หยาบคายไม่ค่อยน่าฟัง ผิดกับมาที่วัดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมาหน้าบ้านบ้าง ก็ไม่ได้กลัวคนจะเห็นว่ายังมีแม่แก่ๆ อยู่ในบ้าน คนเขามาเล่าให้ฟังหลายรายแล้ว เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบได้"
     ฝ่าย สมเด็จฯ ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่พูดอะไร ต่อมาอีกหลายวันท่านมีกิจนิมนต์นอกวัดและบังเอิญขากลับต้องผ่านทางบ้านคุณ นายท่านจึงแวะเยี่ยมเยียน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ มาถึงที่บ้าน ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงที่พระชั้นสมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้าน จึงเรียกลูกหลานเข้ามานมัสการท่านให้ท่านอวยชัยให้พรลูกหลาน แล้วชวนท่านคุยเรื่องต่างๆ มากมาย สมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้าง ถามสุขทุกข์บ้างตามธรรมเนียม
     ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านของคุณนายมีบ้างไหม คุณนายได้ยินเข้าก็ตอบว่า "พระในบ้านของอิฉันมีเยอะเจ้าค่ะ เป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มี สมัยเชียงแสนก็มี นิมนต์พระคุณท่านฯ ขึ้นไปชมที่ห้องพระชั้นบนดีมั๊ยเจ้าคะ"
     สมเด็จฯ ท่านทราบว่าคุณนายยังไม่เข้าใจ จึงถามตรงๆ ว่า "ได้ยินว่าโยมมีคุณแม่พักอยู่ด้วย ตอนนี้ท่านไปไหนเสียล่ะ"
     คุณนายได้ยินเข้าก็ตกใจ ไม่นึกว่าสมเด็จฯท่านจะถามเช่นนี้ ครั้นจะตอบไปตามตรงว่าแม่อยู่หลังบ้านก็กลัวสมเด็จฯ จะเดินไปดูและจะเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่เล้วท่านจะตำหนิ จึงตอบเลี่ยงไปว่า "ตอนนี้คุณแม่ไม่อยู่ออกไปเยี่ยมญาติ คงอีกนานกว่าจะกลับเจ้าค่ะ"สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ต่อความอีกเพราะเริ่มจะรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว เมื่อสมควรแก่เวลาท่านก็ลากลับ
     หลังจากวันนั้น คุณนายก็ยังคงไปทำบุญที่วัดเป็นประจำเหมือนเคย จนวันหนึ่งสมเด็จฯท่านเห็นคุณนายยิ้มแย้มแจ่มใสดี ชวนพูดคุยเรื่องการทำบุญทำทานและยังมีเวลาอีกพอควรก่อนถึงเวลาเพล ท่านจึงถามขึ้นว่า "พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีแล้วหรือ ?"
     คุณนายก็ตอบอย่างภูมิใจว่า "อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแหละเจ้าค่ะ ก่อนจะมานี่อิฉันต้องจัดถวายในห้องพระก่อน จุดธูปเทียนบูชาเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำมาถวายที่วัด ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะเจ้าคะ เพราะอิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร "
      "อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม ! พระในบ้านที่อาตมาถามนี้หมายถึง พระที่มีลมหายใจ คือแม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ ! "
     เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ส่วนสมเด็จฯ ท่านก็พูดต่อไปเรื่อยๆ "คนเรามีพระอยู่ในบ้านทุกคน พระที่มีลมหายใจน่ะ บางคนมีพ่อบางคนเหลือแต่แม่ บางคนยังโชคดีมีทั้งพ่อและแม่ก็นับว่าเป็นบุญ เราควรจะเอาใจใส่ดูแลท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยให้ท่านอยู่อย่างอดๆ อยากๆเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรก็ต้องดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้วกินใช้จะหมดเปลืองไปสักเท่าไหร่เชียว ใช่ไหมโยม ?
     โยมก็เหมือนกัน ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้นแต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่าน เท่าไหร่นักปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อับทึบแบบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้านทั้งๆ ที่ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ดินทั้งหมด โยมได้อยู่อย่างสบายบนตึกใหญ่แต่ปล่อยให้ท่านอดๆ อยากๆไม่สงสารท่านบ้างหรือ ? "
      " โยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่กับแม่ซึ่งเป็นพระในบ้านอีกองค์หนึ่ง โยมไม่เคยจัดหาให้ที่จัดหามาให้อาตมานี่ สังเกตดู โยมจัดมาอย่างประณีตเลยทีเดียว เมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็น อะไรก็ฉันของโยมไปตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่ามันกลืน ไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว เพราะอาตมารู้ว่าอาตมาเป็นพระในวัดไม่ควรจะเอาเปรียบพระในบ้านของโยม "
      " อาตมาคิดมาหลายวันแล้ว ว่าจะพูดดีหรือไม่แต่เพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยมเพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวโยมต่อไปและลูกหลานเห็นโยมทำกับแม่ เช่นนี้ มันก็จะจำเอาไปแล้วทำกับโยมบ้างและทำกันต่อๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเห็นว่าแม่ทำกับยายได้เราก็ทำได้เหมือนกัน อาตมาพูดแล้วโยมจะโกรธจะเคืองอาตมาก็ตามใจเถอะ แต่ที่อาตมาพูดก็เพราะหวังดี โยมลองคิดดูก็แล้วกัน "
     ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นเข้าจับหัวใจ ทำให้น้ำตาของคุณนายไหลพรั่งพรูด้วยความสำนึกเลยใจ สะอื้นพลางกับลาสมเด็จฯ ท่านโดยไม่กล่าวคำอำลาใดๆ
     จากนั้นไม่นาน สมเด็จฯ ท่านก็ได้ทราบข่าวมาว่าคุณนายได้จัดการย้ายห้องให้แม่ขึ้นไปอยู่ติดๆ กับห้องตนบนตึกใหญ่ ดูแลท่านอย่างดี ไม่ค่อยออกนอกบ้านเช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้าวัดมาหาสมเด็จฯ อีกก็ต่อเมื่อเวลาล่วงไปแล้วได้หลายเดือน...
     นับเป็นบุญของคุณนายที่สามารถกลับตัวกลับใจได้ทัน มีเวลาที่จะสนองพระคุณบุพการีก่อนที่จะสายเกินไปผิดกับบางคนกว่าจะรู้ว่าพ่อ แม่เป็นพระในบ้านผู้ประเสริฐก็สายเสียแล้ว คือรู้ก็ต่อเมื่อท่านทั้งสองอวสานชีวิตจากโลกนี้ไปเสียแล้ว

No comments:

Post a Comment