Friday

พระในบ้าน อีกเล่มหนึ่ง

สลักรูปผู้บังเกิดเกล้าขึ้นบูชา
ในรัชสมัยราชวงศ์อ่าวฮั่น ระหว่างปีพุทธศักราช 568 ถึง 762 ที่เมืองฮ่อไหล มีชายคนหนึ่งซื่อเต็งลั้ง เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทียากจะหาผู้เปรียบได้ แม้ว่าผู้บังเกิดเกล้าของเขาจะสิ้นชีพไปนานแล้วแต่เขาก็มวายจะระลึกถึง พระคุณของท่านทุกวันคืน ได้ให้ช่างแกะสลักรูปบิดามารดาขึ้นประดิษฐานบนแทนบูชาไว้กราบไหว้แทนตัว ทุกเช้าค่ำจะน้ำน้ำอุ่นไปสูบเช็ด จัดอาหารไปเซ่นไหว้ ปรนนิบัติเหมือนหนึ่งท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งเต็งลั้งออกไปกิจธุระนอกบ้าน เตียซกเพื่อนบ้านมาขอยืมเครื่องใช้บางอย่างภริยาเต็งลั้งเห็นว่าจะให้ไปก็ควรที่จะได้รับอนุญาตจากผู้เป็นใหญ่ในเรือนเสียก่อน จึงจุดธูปเทียนขึ้นที่หน้าแท่นบูชาอธิษฐานเสี่ยงทายเชิงถามว่าจะควรให้ยืมหรือไม่ ผลการเสี่ยงทาย ปรากฎว่าไม่ควร นางจึงแจ้งให้เตียซกทราบว่าพ่อผัวแม่ผัวของนางไม่ยินดีอนุญาตเตียซกกำลังเมาสุราได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ถลันเข้าไปที่แท่นบูชาด่าและเอาไม้ตีศีรษะรูปสลัก เมื่อเต็งลั้งกลับถึงบ้านเห็นรูปสลักเศร้าหมองจึงสอบถามสาเหตุ ภริยาเล่าความให้ฟัง เต็งลั้งโกรธแค้นยิ่งนัก ฉวยกระบี่ได้วิ่งตามไปแทงเตียซกล้มลง เตียลั้งหมายจะแทงซ้ำให้สาสมกับที่หมิ่นผู้บังเกิดเกล้าของเขา พอดีญาติมิตรเข้าขวางกั้นไว้ วันรุ่งขึ้นเตียซกนำเรื่องไปร้องเรียกกรมการเมือง เจ้าหน้าที่เห็นเตียซกมีบาดแผลสมคำฟ้องก็ให้พนักงานไปเกาะกุมตัวเต็งลั้ง เต็งลั้งวิงวอนขออนุญาตพนักงานว่า ไหนๆ จะเอาตัวไป ก็ขอให้ได้บอกกล่าวคารวะบิดามารดาก่อนเถิดไ เมื่อเต็งลั้งเข้าไปคำนับรูปสลัก พนักงานติดตามเข้าไปด้วยได้เห็นเบ้าตารูปสลักทั้งสองมีน้ำตาไหลรินออกมาเป็นที่อัศจรรย์ เมื่อนำตัวเต็งลั้งส่งมอบก็รายงานเหตุการณ์ที่ประจักษ์แก่ตาตนเองให้ทราบด้วย เจ้าเมืองมีความประหลาดใจจึงมาพิเคราะห์รูปสลักยังที่อยู่ของเต็งลั้งด้วยตนเอง ก็เห็นคราบน้ำตา ปรากฎสมจริง จึงตัดสินใจปรับเตียซกให้ไปขอขมารูปเคารพและปล่อยเต็งลั้งพันข้อหาไป เตียซกพร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่ก็จัดสิ่งของเครื่องคำนับไปเซ่นไหว้ขอขมา และกล่าวสรรเสริญเต็งลั้งว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ยากที่หาผู้ใดเสมอเหมือน

คิดฝังบุตรเพื่อสงวนอาหาร
ในสมัยราชวงศ์เจ้อฮั่น ที่เมืองล่งหลือ มีชายหนุ่มชาวเมืองฮ่อหนำผู้หนึ่งซื่อก้วยกื๊อ เป็นคนยากจนเข็ญใจ แต่มีความกตัญญูกตเวทีแรงกล้ารับจ้างเขาได้ทรัพย์มาก็บำรุงเลี้ยงมารดาและ ปรนนิบัติให้นางมีความสุขต่อมามารดาไปสู่ขอบุตรสาวชาวนาผู้หนึ่งมาให้เป็น ภริยาหญิงนั้นสุภาพอ่อนโยนอยู่ในโอวาทของสามี ภายหลังเกิดบุตรชายคนหนึ่งเป็นที่รักของย่ายิ่งนัก เวลากินอาหารย่าจะให้หลานกินส่วนของย่าจนอิ่มก่อน แล้วย่าจึงจะกินที่เหลือ เมื่อเด็กยิ่งเจริญวัยก็กินอาหารมากขึ้น ทำให้อาหารที่เหลือถึงย่าน้อยลงเป็นลำดับ แม้ก้วยเกื๊อจะวิงวอน มารดาอย่าให้กังวลในหลาน นางก็รับฟังเฉยไม่เอาใจใส่ ยิ่งวันก้วยกื้อยิ่งเห็นอาหารส่วนของมารดา ที่บุตรของเขากินเหลือน้อยลง ทำให้นางต้องเผชิญกับความหิวโหย จึงปรารภกับภริยาว่าทุกวันนี้ลูกของเรากินอาหารของแม่เสียจนแม่กนไม่อิ่ม ครั้นจะทำเพิ่มขึ้นอีกหรือ ค่าจ้างที่หาได้มาก็ไม่พอ ฉะนั้นเราจงช่วยกันเอาลูกไปฝังเสียเถิดแม่จะได้สิ้นกังวล ได้กินอาหารอิ่มท้อง ถ้าแม่ตายจะหาแม่อีกไม่ได้ ส่วนลูกนั้นรอไปไม่ช้าก็คงได้มาอีกภริยาเป็นคนอยู่ในโอวาทของสามีก็ไม่ได้คัดค้านสองผัวเมียจึงถือเอาจอบอุ้มลูกไปที่ชายป่าแล้วจึงลงมือขุดหลุมเพื่อฝังบุตร เมื่อขุดดินลึกลงไปประมาณ 3 ฟุต จอบ กระทบแผ่นเหล็กก้วยกื้อก้มลงโกยดินแล้งัดแผ่นเหล้กออก ก็เห็นทองแท่งเรียงอยู่ 1 ปู๋ มีอักขระจารึกไว้ด้วยว่า ห้ามบ้านเมืองยึดเป็นของหลวง ห้ามปวงชนชิงไปเป็นของตัวสองผัวเมียตื่นเต้นดีใจ ช่วยกันเอาทองใส่ระกล้าขนไปยังที่อยู่ นับแต่นั้นมาครอบครัวของเขาก็ร่ำรวย สิ้นความอดอยากยากไร้ลำเค็ญ ชาวบ้านโจษกันเป็นเสียงเดียวว่า โชคที่ก้วยกื้อได้รับทั้งนี้เนื่องด้วยเหตุ 3 ประการ
ประการที่ 1 มารดาของก้วยกื้อเป็นคนโอบอ้อมอารีมีเมตตา เผื่อแผ่แก่บุตรหลานและบุคคลทั่วไป
ประการที่ 2 ภริยาของเขาเป็นคนอยู่ในโอวาท เชื่อฟังถ้อยคำสามี
ประการที่ 3 ก้วยเกื้อเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาแรงกล้ายิ่งนัก

ล่อยุงให้กัดตัวเอง
สมัยราชวงศ์จิ้น มีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 8 ขวบ กำพร้ามารดา บิดาเป็นคนยากจน เที่ยวรับจ้างทำไร่ทำนา แม้ว่าโง้วแม้จะยังเด็กเมื่อเห็นบิดาต้องทำงานหนักก็มิได้อยู่เฉย ออกป่าเก็บผักหักฟื้นมาขายช่วยแรงบิดา แม้กระนั้นก็ยังไม่บรรเทาความยากจนลงได้ ในฤดูร้อนยุงชุมพ่อลูกต้องนอนตากยุง เพราะไม่มีเบี้ยซื้อมุ้งกางนอน โง้วแม้เห็นบิดาถูกยุงกัดนอนกระสับกระส่วนก็เปลื้องเสื้อที่สวมออกคลุมตัวให้ แล้วตัวเองไปนอนเปลือยกายล่อให้ยุงกัดแม้ยุงจะรุมกันสักเท่าไรก็ไม่ปัดไล่ ปล่อยให้กัดกินเลือดของเขาจนอิ่มเพื่อจะได้ไม่ไปกัดบิดา เขาปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ จนล่วงรู้ไปถึงคนทั้งหลาย ต่างพากันสรรเสริญว่าเป็น ผู้ทรงไว้ซึ่งความกตัญญูกตเวทียิ่งนัก ต่อมาบิดาล้มป่วยหนัก ชาวบ้านสงสารว่ายากจน ทั้งนิยมคุณธรรมอันสูงส่งในจิตใจของเขา พากันเอาทรัพย์มาช่วยเป็นค่ายาค่ารักษาคนละเล็กละน้อย แต่อาการป่วยของบิดาก้ไม่ทุเลาลง สมัยนั้นมีหมอวิเศษคนหนึ่งชื่อเต็งหงี ได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นอยู่ของสองพ่อลูกก็สงสาร เดินทางมาช่วยรักษาจนหายเป็นปกติ หมอเต็งหงีเห็นว่าโง้วแม้ยากจน แต่สูงส่งด้วยความกตัญญูยังไม่มีวิชาความรู้ ต่อไปเบื้องหน้าจะลำบาก จึงออกปากชักชวนให้เรียนวิชาหมอ โง๊วแม้ยินดีมอบตัวเป็นศิษย์ทันที นับแต่นั้นมาก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วยความอุตสาหะ หมอเต็งหงีสอนวิชาให้จนหมดสิ้นเป็นเวลา 3 ปี เมื่อเห็นศิษย์เชี่ยวชาญดีแล้ว ก็ให้ออกรักษาผู้เจ็บป่วย จนเป็นที่ยกย่องโดยทั่วไปว่าโง๊วแม้เป็นหมอวิเศษเสมอด้วยอาจารย์

มารดากัดนิ้วเรียกบุตร
ในสมัยชุชิว ระหว่างรัชกาลพระเจ้าจิวเพ่งอ๋องกับพระเจ้าจิวอุยเสียดอ๋อง ประมาณสมัยพุทธกาล มีเด็กชายคหนึ่งชื่อเจ็งชำ บุตรเจ็งเตี๊ยมชวาวนาเมืองลู้ มารดาชื่อเม่งสี เจ็งชำเป็นศิษย์ในสำนักขงจื้อ เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีแรงกล้า ปรนนิบัติผู้บังเกิดเกล้าด้วยความเอาใจใส่และถนอมน้ำใจให้มีความสุข ว่างจากการเรียนก็ช่วยบิดาทำไร่ทำนา ทุกคืนเขาจะจุดธูปเทียนบูชาเง็กเซียนฮ่องเต้ ขอให้ช่วยเหลืออภิบาลผู้บังเกิดเกล้าให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อยู่เย็นเป็นสุขมีอายุยืนนาน ครั้งหนึ่งบิดาใช้ให้ย้ายต้นฟัก เจ็งขำ ขุดพลาดถูกรากใหญ่ขาดบิดาโกรธมาก เฆี่ยนตีอย่างสาหัส เขาวิตกว่าถ้ามารดารู้ว่าเขาต้องโทษหนักจะเป็นทุกข์ไม่สบายใจ จึงแสร้งไปนั่งดีดพิณให้มารดาสำคัญว่าบิดาเฆี่ยนนั้นไม่เจ็บปวดเท่าใด ต่อมาเมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็เข้าป่าตัดฟืนขายบำรุงเลี้ยงมารดา ทุกคราวที่เข้าป่าเขาเป็นห่วงมารดาที่อยู่เบื้องหลังลำพังผู้เดียวอย่างยิ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เขาตัดฟืนอยู่ในป่า มีอาคันตุกะผู้หนึ่งแวะมายังที่อยู่ มารดาเป็นชาวบ้านนอกมาแต่กำเนิด ก็ไม่รู้ที่จะจัดรับรอง หรือเจรจาพาทีอย่างไร อีกทั้งไม่มีทรัพย์จะซื้ออาหารเลี้ยงดูตามประเพณี นางร้อนใจที่จะรอแล้วรอเล่าไม่เห็นบุตรกลับมา ในที่สุดนางเกิดความคิดขึ้นว่าอันสายเลือดของแม่กับลูกนั้นมีความสัมพันธ์ กันจึงยกนิ้วใส่ปากกัดจนนิ้วแตก ในบัดเดียวกันนั้นบุตรของนางที่กำลังตัดฟืนอยู่ในป่าก็เจ็บเสียวในทรวงเขา สังหรณ์ในว่าคงมีเหตุเกิดขึ้นทางบ้าน จึงมัดท่อนฟืนที่ตัดแล้วแบกขึ้บ่ารีบกลับบ้าน ถึงบ้านตรงเข้าไปคุกเข่าเฉพาะหน้ามารดา แจ้งอาการที่เกิดเจ็บในอก มารดากล่าวว่ามีอาคันตุกะมาที่บ้านเรา จึงกัดนิ้วให้รู้ถึงเจ้าจะได้รีบกลับมาปรึกษาหารือกันจะควรรับรองเขาอย่างไร

สละน้ำนมให้แม่ผัว
สมัยราชวงศ์ถังนับเนื่องแต่ลีเอี๋ยนปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าถังโกโจปฐมกษัตริย์ ครองราชสมบัติเมื่อปีขาล พุทธศักราช 1161 ตลอดจนมาถึงพระเจ้าถังเจียวจง กษัตริย์องค์สุดท้าย ซึ่งเสียเมืองเมื่อปีฉลู พุทธศักราช 1449 รวมกษัตริย์ราชวงค์ถังสืบสันตติวงศ์ต่อกันมาโดยลำดับ 20 พระองค์เป็นเวลา 289 ปี สมัยราชวงศ์ถังตอนต้นนางเชียงฮูหยินผู้เป็นว่าทวดของถังชุยน่ำซัวผู้สืบเชื้อสายเจ้าประเทศราชครั้งโบราณ ชรามากแล้วดรคภัยเบียดเบียนเป็นคนทุพพลภาพ ฟันร่วงหลุดหมดปาก ไม่สามารถขบเคี้ยวอาหารกินได้หมอแนะนำให้กินน้ำนมคนประจวบกับเวลานั้นนางทั่นฮูหยินผู้เป็นบุตรสะใภ้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งเด็กชายผู้นี้คือปู่ของถังชุยน่ำซัว เมื่อปรากฎว่าแม่ผัวจำเป็นต้องกินน้ำนมคนเพื่อยังให้ชีวิตอยู่ต่อไปนางทั่นฮูหยินก็สละน้ำนมของนางให้กินทุกวัน ก่อนให้น้ำนมแม่ผัว นางจะชำระกายจนสะอาดสะอ้าน แต่งตัวหวีผมฟัดหน้าสวมเสื้อผ้าใหม่ แล้วเชิญแม่ผัวเข้าไปในห้องโถง เลิกเสื้อเปิดอกให้ดูดกินน้ำนมจากเต้านมของนาง นางปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ นางเชียงฮูหยินก็มีกำลังวังชาแข็งแรงขึ้น อายุยืนอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี อันความกตัญญูกตเวทีของนางทั่นฮูหยินนี้ ก่อนที่นางเชียงฮูหยินจะถึงแก่กรรม ได้เรียกบุตรหลานมาสั่งว่าเมื่อข้าพเจ้าตายไปแล้วถ้าผู้ใดนึกถึงข้า หวังให้ปณิธานของข้าสมปรารถนา จงปรนนิบัตินางทั่นฮูหยินอย่างน้อยก็ให้เท่ากับที่เขาปรนนิบัติข้าเถิด

บิดา มารดา เป็นพรหมของบุตร
พึงน้อมนบบูชา กตัญญูกตเวทิตา
เหนือยิ่งสิ่งใด

ลูกขอกราบบูชา มารดาผู้มีพระคุณ


แม่
แม่เมื่อหวังตั้งใจจะได้ลูก จิตพันผูกเทพเจ้าเฝ้าวอนขอ คอยถามฤกษ์ ฤดู ปี ใดดีพอ หวังได้ก่อเกิดลูกถูกฤกษ์ยาม ครั้นจะดูเอิบอาบแม่ซาบซ้าน สมุฎฐานครรภ์ตั้งดังสอบถาม แม่แพ้ท้องครองทุกข์โรคคุกคาม แต่ใจงามเพราะความรักปักลูกน้อย แม่อุ้มครรภ์วันแล้วก็วันเล่า กำหนดเก้าเดือนกว่าน่าท้อถ้อย พอลูกคลอดปลอดภัยสมใจคอย แม้จึงพลอยเริ่มต้นเป็นชนนี ยามทารกตกใจร้องไห้จ้า แม่จะมาคอยกล่อมหอมเกศี ให้ดื่มนมสมนาม แม่แสนดี ผู้ปรานีปลอบขวัญให้มั่นใจ คราวลมแรงแสงแดดแผดเผากล้า เด็กจะรู้เดียงสาก็หาไม่ แม่เท่านั้นหวั่นระวังไม่ห่างไกล จึงเรียกได้ไม่ลำเอียงผู้เลี้ยงดู มือทั้งสองของแม่เฝ้าแต่อุ้ม ประคองคุ้มเคียงอยู่มิรู้หาย อกของแม่แผ่เอียงลงเคียงกาย ให้ลูกหายจากหนาวคราวค่ำคืน ยามนอนแม่เห่กล่อมด้วยคำหวาน กล่าวประสานกล่อมเกลี้ยงสำเนียงชื่น ยามจะกินแม่คอยป้อนสอนให้กลืน ลูกสดชื่นนั้นอิ่มเอมเปรมชีวี ยามจะเล่นแม่ก็เป็นเหมือนดังเพื่อน สนุกเหมือนเพื่อนสนุกเป็นสุขขี เมื่อยามร้องท่านก็ปลอบให้ขอบที เมื่อยามดีท่านก็เสริมให้เพิ่มพูน พระคุณแม่นั้นยังมีอีกมาก ใคร่ขอฝากเตือนใจไว้ไม่สูญ หมั่นดูแลตอบแทนท่านทวีคูณ เกื้อกูลตราบสิ้นดับลับร่างลงดูแลพ่อแม่ก่อนแก่เฒ่า ดีกว่าเฝ้าทำบุญให้เมื่อวายชนม์

แม่จ๋า
ตอนฉันยังเด็กเล็กนัก แม่รักกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงนอน ความสุขทุกอย่างถึงพร้อม แม้ล้อมรั้วรักรอบใจ เติบใหญ่แกร่งกล้าเด็ดเดี่ยว แม่เทียวป้อนรักไว้ให้ แม้ลูกแข็งแรงเพียงใด แม่ไม่ไว้ใจสังคม พร่ำสอนลูกรักสม่ำเสมอ แม่เจอมาแล้วความสุขสม ผสานแทรกทุกข์ร้อนตรอบตรม แม่ชมชื่นใจเกินบรรยาย อยากให้ลูกได้ตระหนักใจคน แม่ทนหมองได้แม้ใจสลาย แต่หายลูกทุกข์ร้อนใจกาย แม่ตายทั้งที่กายยังเป็น แม่จ๋าแม่รู้ไหมว่า แม่เป็นยิ่งกว่าที่เห็น สำคัญยิ่งกว่าที่เป็น แม่เร้นซ่อนทุกข์ในเรือนตน แม่ทนเพื่อลูกได้เสมอ แม่เจอแม่พบความสับสน แม่นิ่งแม่กล้าเผชิญชน แม่ไม่จนแม้ปัญญาช่วยนำทาง วันนี้ขอตะโกนก้องฟ้า แม่จ๋าลูกรักแม่ไม่สร่าง รักแท้ในใจไม่เลือนลาง แม่สร้างให้ลูกผูกใจรัก พรุ่งนี้แม่ลูกระทมโศก โลกทั้งโลกจะได้ตระหนัก แม้ดวงใจนี้ไร้ใครรัก ขอเพียงรักแม่นั้นตราบวันตาย

No comments:

Post a Comment