Friday

พระในบ้าน อีกเล่มหนึ่ง


ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนาพิเศษ
เรื่องพระคุณแม่ ของ
พระดุษฎี เมธังกุโร สวนโมกขพลาราม
อุปการะที่แม่มีต่อลูก 5 ประการ
แม่ของเราทั้งหลายท่านทำหน้าที่อะไรบ้าง
1. เริ่มตั้งแต่คอยตักเอนห้ามปรามเราไม่ให้ทำความชั่ว ไม่มีแม่คนไหนที่สอนให้ลูกทำความชั่ว ยกเว้นแต่แม่คนนั้นมีความหลงผิด มีความเห็นผิด มีความเห็นแก่ตัว เป็นแม่ที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีสามัญสำนึกแต่ ถ้าเป็นแม่โดยแท้จริงทั่วไปแล้ว แม่ทุกคน จะต้องห้ามปรามป้องกันลูกจากการทำความชั่ว
2. อุดหนุนส่งเสริมให้กำลังใจและสอนลูกให้ทำแต่ความดี
3. แม่ใช้วิชาความรู้ซึ่งจะเป็นทรัพย์เลี้ยงตัวตลอดชีวิต เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ แม่ก็ให้เราทุกอย่าง
4. เมื่อเราโตขึ้น แม่ก็ให้อนาคต ช่วยหาคู่ครองหรือหาครอบครัวที่อบอุ่นแก่เรา และ
5. เมื่อถึงคราวอันสมควรท่านก็มอบทรัพย์มรดกให้อีกแม่ทำหน้าที่มากถึงขนาดนี้ เราก็ต้องทำหน้าที่ตอบแทนให้สมกัน

ลูกมีหน้าที่ปฏิการะ 5 ประการ หน้าที่ของลูกที่ตอบแทนแม่ก็มีอยู่ 5 ประการ ตั้งใจฟังให้ดี
1.
ท่านเลี้ยงเรา เราเลี้ยงท่านตอบ การเลี้ยงก็มี 2 อย่าง คือ เลี้ยงกาย กับ เลี้ยงใจ เลี้ยงกาย ก็คือการหาเลี้ยงด้วยอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคให้กับท่าน ให้ท่านมีความสะดวกสบาย พ่อแม่มีความสำคัญถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าอนุญาตว่า ภิกษุสามเณร บิณฑบาตเลี้ยงพ่อแม่ได้ แต่ไม่ให้เลี้ยงคนอื่น ถ้าตนเองยังไม่ได้ฉันเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาศรัทธาของญาติโยมที่นำมาทำบุญ คือญาติโยมเขาตั้งใจถวายพระถวายเณร เพื่อบำรุงพระศาสนา ถ้าเราให้กับคนอื่นกินก่อน เขาอาจจะเสียใจและเสื่อมศรัทธา แต่ว่าถ้าให้กับพ่อแม่ก่อนนี้ท่านอนุญาต แสดงว่าการเลี้ยงดูพ่อแม่นี้เป็นการกระทำที่ดีที่ท่านยกย่องและเห็นความสำคัญ มีเรื่องเล่าในคัมภีร์ว่า ในครั้งพุทธกาลมีชายคนหนึ่งเป็นลูกคนเดียวของเศรษฐีชราตายาย เกิดความศรัทธาอยากจะไปบวชแต่พ่อแม่ซึ่งแก่แล้วก็ไม่อยากให้บวช เพราะว่าเป็นลูกชายคนเดียวที่จะสืบทอดสกุล เมื่อพ่อแม่ไม่อนุญาต ลูกชายก็อดข้าวอดน้ำประท้วยหมายใจจะให้พ่อแม่ทนไม่ได้ เมื่อพ่อแม่เห็นลูกลำบากเจียนจะตายเสียเปล่า ในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องยอมอนุญาตให้ลูกบวช เมื่อบวชแล้วพระลูกชายก็ไปอยู่ที่ไกล เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม พ่อแม่ซึ่งแก่แล้วไม่มีคนดูแลบ้านช่อง เมื่อคนหยิบฉวยขโมยเอาของไป พ่อแม่ที่ไม่สามารถปกป้องได้ และในที่สุดเศรษฐีทั้ง 2 คนนี้ ก็ยากจนลง จนต้องไปขอทานเขากิน เวลาผ่านไปหลายปี ลูกซึ่งไปปฏิบัติธรรมแล้วยังไม่บรรลุธรรมเสียที คือทั้งไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แล้วก็ไม่บรรลุธรรมเสียที คือทั้งไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แล้วก็ไม่บรรลุธรรมด้วย ครั้นเดินทางกลับไปที่บ้านเกิดเมืองนอน จึงพบว่าพ่อแม่ของท่านล้มละลายไปแล้ว มีคนช่วงชิงทรัพย์สมบัติหมด วันหนึ่งไปพบพ่อแม่ขณะบิณฑบาต ลูกนั้นจำพ่อแม่ไม่ค่อยได้ แต่แม่จำลูกได้ พระลูกชายได้รู้สำนึกเสียใจ ตั้งใจว่าต่อไปนี้บิณฑบาตมาก็มาเลี้ยงพ่อแม่ก่อน ตัวเองยอมอด อาหารก็หายาก ด้วยการทำอย่างนี้ท่านก็เลยผ่ายผอม คนที่ไม่รู้ก็ตำหนิว่า ทำไมท่านไม่ฉันเสียก่อนจึงให้คนอื่น ทั้งนี้ก็เพราะว่า ท่านมีความห่วงใยพ่อแม่ พ่อแม่ทุกข์ยากลำบากจึงต้องเลี้ยงพ่อแม่ก่อนเลี้ยงตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงประทานอนุญาติพิเศษ ว่า พระภิกษุเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ไม่ปรับอาบัติ นี้เราจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงยอมรับนับถือการกระทำที่เป็นความกตัญญูรู้ คุณพ่อแม่ และท่านยังสรรเสริญว่า มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมมงคล มุตตมํ แปลว่า การเลี้ยงดูมารดา บิดาเป็นคุณธรรมอันสูงส่ง เป็นมงคลอันสูงสุด ทำชีวิตให้ก้าวหน้า และเป็นสัปปุริสบัญญัติ คือเป็นเครื่องหมายกำหนดแสดงการกระทำของคนดี นอกจากเลี้ยงกายแล้วเราก็ต้อง เลี้ยงใจ ท่านด้วย คือ ช่วยให้ท่านมีความสุขใจ อย่างสามเณรไม่มีเงินทองให้พ่อแม่ แต่ก็สามารถเลี้ยงใจของพ่อแม่ คือบำรุงน้ำใจของท่านให้ท่านมีความชื่นใจ มีความพอใจ มีความภูมิใจในตัวเรา การเป็นคนว่านอนสอนง่าย ก็ช่วยทำให้ท่านสบายใจ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องทุกข์ใจนี้คือการเลี้ยงน้ำใจของท่าน เป็นการเลี้ยงดูตอบแทนท่านที่ท่านเหนื่อยยากในการเลี้ยงเรามา

2. ช่วยทำกิจของท่าน เรารู้ว่าพ่อแม่นั้นมีความหวังดีกับเรา ในตอนที่เราเป็นเด็กท่านก็อยากให้เราศึกษาให้ดี เราจะได้ช่วยตัวเองได้ในภายหน้า เราก็ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อย่าทำให้ท่านผิดหวัง แต่เราจะเอาแต่เรียนอย่างเดียวอย่างสุขสบาย โดยไม่ช่วยทำงาน แบ่งเบาภาระท่านเลย ก็ไม่ยุติธรรม เพราะฉะนั้นหน้าที่อย่างหนึ่งคือต้องช่วยงานท่านด้วย เราเป็นเด็ก เราก็ช่วยงานบางอย่างได้ เช่น ช่วยงานบ้าน เราอาจจะบอกว่าเรารักแม่ แต่เราก็ไปเที่ยว ไปเล่น ใช้เงินเปลือง อย่างนี้ก็ไม่ชื่อว่าเป็นคนที่รักท่านจริง ถ้าเรารักท่านเราต้องช่วยทำงานบ้านบ้าง ให้ท่านเบาภาระลงไป แม้การที่เราช่วยประหยัดเงินก็เท่ากับเป็นการช่วยให้ท่านไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปในตัว เพราะถ้าเราไม่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่จำเป็น ท่านก็ ไม่ต้องเหนื่อยหาเงินมาให้เราใช้ การมัธยัสถ์ประหยัดอดออมมีค่าเท่ากับการช่วยพ่อแม่หาเงิน ทำให้มีเงินเหลือเก็บ มากขึ้นและถ้าเราสามารถจะช่วยเลี้ยงน้อง ช่วยทำงานบ้านได้ คุณธรรมความดี เหล่านี้ก็จะติดตัวเราไป ทำให้เราเป็นคนขยัน ไม่ดูดายถ้าเราเป็นคนมีความเพียร มีความรับผิดชอบตั้งแต่เด็กโต ขึ้นเราจะได้ดี เพราะเรามีนิสัยที่เราฝึกฝนมาดี ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ด้วยการแบ่งเบาภาระพ่อแม่อย่างนี้ เราก็จะมีชีวิตที่มีความสุข ความเจริญมากขึ้น ฉะนั้นให้เราพยายามช่วยตัวเองให้มากๆ ซักผ้าเอง กวาดบ้านถูบ้าน รดน้ำต้นไม้และช่วยงานอาชีพของท่านได้ เพื่อเราจะเบียดเบียนพ่อแม่น้อยลง ถ้าเรารู้จักพึ่งตัวเอง ช่วยตัวเองมากเท่าไร ทำให้เป็นภาระกับพ่อแม่น้อยลง แม้จะไม่ได้ช่วยโดยตรงแต่ก็เป็นการช่วยโดยอ้อม คือช่วยให้ท่านไม่ต้องเสียเวลาเสียเงิน เสียทองกับเรา อันนี้ก็เป็นธรรมะที่เราปฏิบัติได้ ในฐานะที่เราเป็น ลูกและยังเป็นเด็กอยู่ คือตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและช่วยท่านทำงาน 3. ดำรงวงค์สกุลของท่านไว้ คือเราต้องมีความรักสามัคคีในหมู่พี่น้อย กลมเกลียวกันแล้ววงศ์สกุลจะตั้งมั่นแน่นแฟ้น เหมือนเชือกหลายเส้นฟั่นรวมกันก็เหนียวแน่นแข็งแรง และต้องรักษาเกียรติความภาคภูมิใจของท่านไว้ วงศ์สกุลของพ่อแม่จะมีสิ่งที่ภาคภูมิใจอยู่ พ่อแม่อาจจะไม่ใช่เป็นคนร่ำรวย อาจจะไม่ได้มีตระกูลสูง เป็นขุนนางหรือเจ้าฟ้าเจ้านายอะไร แต่ถ้าวงศ์สกุลของเรามีความซื่อสัตย์ สุจริต มีความเสียสละ ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม ก็เป็นที่ยอมรับนับถือ เราก็ต้องรักษาเกียรติคุณของวงศ์สกุลของเราไว้ คือ ไม่ประพฤติตนให้เสื่อมเสีย อันนี้ก็เป็นทางหนึ่งที่เราจะสามารถช่วยให้วงศ์สกุลของท่านไว้ให้ดำรงมั่น ทั้งบริวาร ศักดิ์ศรี และ เกียรติยศ ยศนี้มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1. ยศที่เกิดจากการแต่งตั้ง เพราะมีความรู้ความสามารถดี ทำหน้าที่สำเร็จ ผู้ใหญ่ควรไว้วางใจ เรียกว่าอิสริยยศ 2. ยศที่เกิดจากการมีคุณธรรม เช่น มีความซื่อสัตย์ สุจริตและความเสียสละ เป็นที่ยกย่องปรากฏเรียกว่า เกียรติยศ และ

3. ยศที่เกิดจากการที่เรามีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความสมัครสมานสามัคคี มีบริษัทบริวารเพื่อนบ้านเพื่อนฝูงดีเรียกว่า บริวารยศ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นความดีของวงศ์สกุล เป็นสิ่งที่เราควรจะรักษาไว้ ลูกคนใดทำให้วงศ์สกุลเจริญมากขึ้นท่าน เรียกว่า อภิชาตบุตร ลูกคนใดรักษาวงศ์สกุลไว้ได้เสมอพ่อแม่ เป็น อนุชาตบุตร ส่วนลูกที่เสื่อมทรามต่ำลงมากกว่าพ่อแม่ เป็นอวชาตบุตร เราจะต้องทำให้วงศ์สกุลเจริญมากขึ้นอย่างพระพุทธเจ้าเป็นต้น

4. ประพฤติตนให้สมควรแก่การรับทรัพย์มรดก คือ เราจะต้องประพฤติตนให้เป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ มีความคิดความอ่าน ให้ท่านไว้วางใจว่า เราสามารถรักษาทรัพย์มรดกของท่านได้ เราก็ต้องเตรียมตัวฝึกฝนอบรมตน การมาบวชเณรนี้ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งสำหรับการที่เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่เหมาะสม ที่จะดูแลและรับทรัพย์มรดกของท่าน เราเป็นทายาทถ้าเราไม่เตรียมตัวไว้ ก็จะรักษาทรัพย์มรดกที่ท่านหามาด้วยความเหนื่อยยากไม่ได้ และไม่เพียงแต่รักษาไว้เท่านั้น แต่เราต้องหมั่นทำให้เพิ่มพูนมากขึ้น ตลอดจนรู้จักใช้ทรัพย์นั้นให้เป็นประโยชน์กับส่วนรวม ทำให้โภคทรัพย์ คือ ทรัพย์ภายนอกกลายเป็น อริยทรัพย์ คือทรัพย์ภายในที่ดีแท้ คือเป็นบุญกุศลซึ่งยังประโยชน์และความสุขที่ยิ่งขึ้นไปในทางธรรม

5. ทำบุญกุศลอุทิศให้ เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ในประการสุดท้ายท่านจึงสอนว่า นอกจากที่เราพยายามตอบแทนท่านในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ เช่น เลี้ยงดูท่านบ้างช่วยงานท่านบ้าง ทำให้ท่านชื่นใจ ภูมิใจในตัวของเรา ไว้วางใจเราว่าจะรักษาทรัพย์มรดกและปกครองสืบทอดวงศ์สกุลของท่านได้ เมื่อท่านล่วงลับดับไป เราก็ทำประโยชน์ ทำบุญกุศลอุทิศให้กับท่านบุญกุศลที่เราอุทิศให้กับท่านนั้น ทำได้ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งดีกว่ารอตอนท่านตายไปแล้วจึงทำ บางคนไปคิดได้เอาตอน ที่ท่านจากไปแล้ว การทำบุญอย่างนั้นมีประโยชน์กับท่านน้อย แต่ถ้าเรารู้จักทำตั้งแต่ท่านยังไม่ตายจะดีกว่า เพราะนำความสุข ใจให้กับท่าน ความสุขความสบายใจก็เป็นบุญกุศลในจิตใจของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นให้เราพยายามทำให้ครบทุกขั้นตอนอย่างที่ว่านี้ ลูกทำความดีเป็นการประกาศ ความดีของพ่อแม่ด้วย ถ้าหากว่าพ่อแม่เป็นผู้ที่มีความดี เราประกาศความดีของพ่อแม่ด้วยการทำตัวเป็นคนดี ด้วยการยกย่องท่าน หรือว่าทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม การทำอย่างนี้เป็นการประกาศความดีของท่านที่จากไป ในฐานะที่ท่านเสียสละเลี้ยงดูอุ้มชูเรามา แล้วเป็นการประกาศความดีของเราด้วย ว่าเป็นคนกตัญญูกตเวทีไม่ลืมพระคุณของท่าน และการกระทำนั้นๆ ก็เป็นประโยชน์กับส่วนรวม การมาบวชเณรบวชพระ ปฏิบัติขัดเกลาจิตใจตนเองนี้ ก็เป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง เป็นประโยชน์กับตัวเณรเอง เป็นประโยชน์กับพ่อแม่ เป็นประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติ และเป็นประโยชน์กับพระศาสนาด้วย ถือเป็นหน้าที่ที่ลูกทุกคนควรจะทบทวนตนเองดูว่า เราทำหน้าที่เหล่านี้ครบหรือยัง ถ้าเราทำครบเราก็จะมีความภาคภูมิใจ ว่าเราได้ทำประโยชน์แก่ทุกฝ่าย

การทำความดี
ต้องทำจริงและทำให้ตลอด

การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอบรมนี้เป็นเรื่องสำคัญมี นิทานจีนเล่าว่า แม่บางคนอยากให้ลูกได้ดี แต่ลูกไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการศึกษา เรียนๆ ขาดๆ ไม่ตั้งใจทำให้ตลอดรอดฝั่ง แม่ทอผ้าไหมอยู่ ผ้าไหมนี้มีราคาแพง และกว่าจะได้สักผืนต้องใช้เวลาและแรงงานมาก วันหนึ่งลูกไม่เชื่อคำแนะนำของแม่ แม่ต้องการสอนให้ลูกรู้สึกสำนึกตัวจึงต้องตัดใจเอามีดมาฟันผ้าที่ทอค้างอยู่ ขาดกลางผ้าทอมาตั้งนานแม่ฟันขาดสะบั้น เลยใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ไม่มีราคา ลูกเห็นก็ตกใจและสงสัย ถามแม่ว่าทำไมแม่ฟันฟ้าทิ้งอย่างนั้น มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ กว่าแม่จะปั่นด้ายขึ้นมา เสียเวลาเลี้ยงไหม แล้วทอตั้งเท่าไรไม่เสียดายหรือ แม่บอกว่าเสียเท่านี้ไม่เท่าไรหรอกลูก แต่ถ้าลูกไม่ตั้งใจเรียนลูกจะเสียอนาคตตลอดชีวิตหรือตลอดชาติเลย การที่ลูกไม่ตั้งใจเรียน เรียนครึ่งๆ กลางๆ ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ครบจนตลอด ก็เหมือนกับผ้าผืนนี้ มันทอไม่ตลอดรอดฝั่ง ไม่สำเร็จเสร็จสิ้น มันก็ไม่มีประโยชน์ ใช้การอะไรไม่ได้ ลูกก็สะเทือนใจได้คิดขึ้นมา ต่อจากนั้นก็ตั้งใจว่า จะศึกษาเล่าเรียนให้ดี แล้วในที่สุด ลูกคนนี้ก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของจีน ท่านมีชื่อว่า เม่งจื้อ ชีวิตท่านมีเกียรติคุณ มีชื่อเสียงมาก เป็นที่นับหน้าถือตาขึ้นมาได้นี้ก็เพราะแม่ อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของแม่ที่รักลูกและสอนลูกถูกวิธีจนลูกได้ดี เพราะมีความพากเพียรพยายาม ทำตามความปรารถนาดีของแม่ มีตัวอย่างเช่นนี้เล่าให้ฟังมากมาย เช่น โจรองคุลีมาล ซึ่งถูกอาจารย์หลอกให้ฆ่าคนมากมายเอานิ้วมือมาร้อยเป็นมาลัย พระราชาจะยกกองทัพมาปราบและฆ่าให้ตาย ฝ่ายแม่เมื่อได้ยินข่าวก็เป็นห่วงลูก กลัวจะถูกเขาเข่าฆ่าก็อุตส่าห์เสี่ยงตายมาเตือนภัยให้ลูกหนี ถ้าองคุลีมาลเจอแม่คงจำไม่ได้ และคงจะฆ่าแม่ตายเอานิ้วมือไปให้อาจารย์ แต่แม่ก็ไม่กลัวพระพุทธเจ้าทรงเกรงว่าองคุลีมาลจะทำบาปหยาบช้าใหญ่หลวง คือ ฆ่าแม่ของตนเอง จึงเสด็จไปโปรดองคุลีมาล ให้กลับใจและกลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่ก็เป็นเรื่องที่แสดงความรักห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก จนไม่คิดรักตัวกลัวตายอีกเรื่องหนึ่ง

ลูกที่เชื่อฟังคือลูกที่ประเสริฐที่สุด
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ลูกทั้งหลายมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ว่านอนสอนง่าย มีความเชื่อฟังพ่อแม่ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านบอกว่าบุตรที่ประเสริฐที่สุดคือบุตรที่เชื่อฟังพ่อแม่มีแต่ความหวังดีคอยแนะนำตักเตือนเราไม่ให้ผิดพลาด ถ้าเราเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่เกเรเหลวไหล ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ชีวิตของเราจะปลอดภัย แล้วก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ พรที่เราเคยเจริญให้แก่ญาติโยม ที่ถวายบิณฑบาตทุกวัน จำได้ไหม มีอยู่ตอนหนึ่ง อภิวาทนสีลิสส นิจจํ วุฑฒาปจายิโน จตตาโร ธมมา วฑฒนติ อายุวณโณ สํ พลํ แปลว่า พร 4 ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญ แก่ผู้มีปกติอ่อนน้อม มีปกติไหว้กราบผู้ใหญ่อยู่เป็นนิจ คนที่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ เชื่อฟังพ่อแม่แล้วย่อมจะเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ นั้นเพราะอะไร เพราะว่าคนที่ไม่ดื้อด้านนั้น ผู้ใหญ่ท่านเอ็นดูสั่งสอน จึงได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง พี่เลี้ยงก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี พ่อแม่ก็ดี เป็นกัลยาณมิตรของเรา เป็นคนที่หวังดี คอยให้คำตักเตือนเรา เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อฟังและปฏิบัติ และผลดีนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง แล้วก็จะทำให้ท่านเบาใจ ทำให้ท่านชื่นใจและมีความสุขที่ความปรารถนาดีของท่านได้รับการตอบสนอง ท่านเห็นเรามีความสุขก็มีความสุขด้วยทุกครั้งไป เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราทำในใจว่า เราจะเชื่อฟังพ่อแม่ อย่าให้พ่อแม่เสียใจ เราจะทำอะไร คิดถึงพ่แม่ อยู่เรื่อยๆ ว่าทำแล้ว ท่านจะเสียใจหรือไม่ เราก็จะไม่ตกไปในความเสื่อม ไม่ตกไปในความทุกข์เดือดร้อน พ่อแม่ก็จะตามรักษาเรา เป็นเทวดาคอยคุ้มครองเราอย่างนี้ เป็นพระพรหมและเป็นพระอรหันต์ของเราตลอดจนเป็นครูที่คอยเตือนเรา คอยสอนเราในเรื่องที่จำเป็นกับชีวิตอะไรเป็นความดีท่านก็สอน อะไรเป็นความชั่วท่านก็ห้ามแต่ปัญหา คือเราไม่ค่อยฟัง บางทีเขาด่าว่าเป็นลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนอย่างนี้เป็นการด่านพ่อแม่เราอย่าง ร้ายแรง ที่จริงนั้นท่านสั่งสอนแต่เราไม่จำ ก็เท่ากับว่าเราทำให้พ่อแม่ถูกด่า เราก็เป็นคนที่เลวร้ายไปหลายเท่า คือทำให้ท่านเสียใจด้วย ทำให้ท่านถูกตำหนิด้วย แล้วเราก็ไม่มีความสุขความเจริญ เพราะฉะนั้นการที่เราตั้งใจว่าจะเป็นลูกที่ดีมีความเชื่อฟังท่าน จึงเป็นพรอันประเสริฐ เราให้พรแก่ญาติโยม ก็ต้องเตือนตัวเราอย่างนี้ว่า พ่อแม่นั้นเป็นผู้มีพระคุณ และเป็นคนที่หวังดีกับเราท่านจึงพยายามแนะนำสั่งสอนและตักเตือนเราเท่าที่ ท่านจะสามารถให้ได้ เราจึงควรเป็นบุตรที่เชื่อฟัง ถ้าเราทำอย่างนี้ก็จะเป็นการตอบแทนบุญคุณของท่านในขั้นต้น

การมาบวชเป็นโอกาสให้พ่อแม่ได้ใกล้ชิดธรรมะ
ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราสามารถจะพัฒนาตนให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เช่น ว่าพวกเราตั้งใจมาบวชเป็นสามเณร เพื่อศึกษาฝึกฝนตนเอง ระหว่างเราอยู่ในผ้าเหลือง ท่านนึกคิดถึงเราบ่อย แม่พระตนนี้รักลูกมาก เมื่อลูกไปบวช 3 เดือนก็ตาม บวช 1 เดือนก็ตาม ก็มีใจคิดถึงลูกที่อยู่วัด กลัวจะเงียบเหงาว้าเหว่ แม่ก็ตั้งใจถือศีลเป็นเพื่อนลูกไม่กินข้าวเย็น ไปวัดฟังธรรมเป็นเพื่อนลูก ให้ลูกได้เห็นหน้าบ่อยๆ ลูกจะได้มีกำลังใจ อาศัยการที่เราบวชนี้แหละ ทำให้พ่อแม่ได้มาปฏิบัติธรรมได้ทำบุญทำทาน เช่นได้ใส่บาตร เพราะรู้ว่าลูกสามเณรอยู่ได้ เพราะมีคนทำบุญใส่บาตร ตัวเองก็ทำบุญใส่บาตรด้วย จะได้เป็นการบำรุงเลี้ยงลูกพระ ลูกเณร หรือบำรุงเลี้ยงพระศาสนาโดยทั่วไปก็ได้ ไม่ได้เจาะจงที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง พอเรามาบวชแม่ก็อยากใส่บาตร อยากทำบุญให้ทานอยากจะรักษาศีลเป็นเพื่อนเรา พอเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เจริญภาวนาให้เกิดปัญญาขึ้นมา จิตใจก็สบาย นี่ก็เพราะเรามาบวช จึงทำให้พ่อแม่ได้เข้าวัดมาเยี่ยมเราเป็นเพื่อนเรา พอเราสึกไป ถ้าพ่อแม่ไม่มาวัดเสียเลยก็ไม่ค่อยดี เพราะตอนท่านมาวัด ท่านก็คุ้นเคยกับพระอาจารย์ที่วัดแล้ว พอท่านคุ้นเคย ท่านก็มาเยี่ยมพระอาจารย์ที่วัดได้บ่อยๆ ในการที่เรามาบวชก็ทำให้ท่านเป็นญาติกับพระศาสนา เป็นทายกทายิกาคอยช่วยเหลือ และเป็นมิตรใกล้ชิดกับทางวัด กับพระอาจารย์การบวชของเราจึงนับว่าเป็นประโยชน์มาก คือทำให้พ่อแม่ได้ใกล้ชิด พระศาสนา ได้เจริญในทางธรรม

No comments:

Post a Comment