บทที่หก
ที่นี่ เดี๋ยวนี้
Here and Now
ในห้าบทแรก ดิฉันได้พยายามบอกคุณว่า จุดคงที่ของจักรวาลหรือสัจธรรมอันสูงสุดในธรรมชาตินั้นมีอยู่อย่างแน่นอน ในบทนี้ ดิฉันจะโยงสัจธรรมอันสูงสุดให้เข้าหาเรื่องเวลาเพื่อให้คุณเห็นอย่างชัดเจนว่า การที่ใครสักคนหนึ่งต้องการเข้าถึงสัจธรรมนั้นจะต้องทำอะไร อย่างไร ซึ่งเป็นมุมมองที่ดิฉันสามารถอธิบายอุดมคติที่สูงสุดของศาสนาเช่น พระนิพพาน พระเจ้า ให้เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด เพราะเรื่องเวลา เช่น อดีต อนาคต ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องกลาง ๆ ที่เป็นสากล นี่เป็นมุมมองที่ปัญญาชนผู้ไม่สนใจศาสนธรรมเลย ก็สามารถเข้าใจและเห็นตามได้ไม่ยากนัก พร้อมกันนั้น คุณก็จะได้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ว่า มันจะช่วยให้คุณเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดนี้ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านนี้ เป็นเรื่องที่ดิฉันได้เน้นมาตลอดในหนังสือเล่มนี้
เนื่องจากดิฉันได้เขียนบทนี้ในรูปของจดหมายที่ดิฉันตอบให้แก่ลูกศิษย์ชาวคามารูนคนหนึ่งและมอบให้ลูกศิษย์ทุกคนเป็นของขวัญปีใหม่ ดิฉันจึงยังอยากคงรูปแบบของจดหมายไว้เช่นเดิม
เมืองยาอุนเด้
ประเทศคามารูน
1 มกราคม 2004
สวัสดีครับอาจารย์ศุภวรรณ
สวัสดีปีใหม่ครับ ไม่ว่าผมจะอ่านจดหมายของอาจารย์หรือเขียนถึงอาจารย์ ผมรู้สึกเป็นสุขเสมอครับ ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่า อาจารย์หาเวลาที่ไหนมาให้พวกเราแต่ละคนและทุกคนได้เสมอเช่นนี้
ผมได้รับอีเมล์ของอาจารย์ทุกฉบับ และแน่นอน ผมอ่านทุกฉบับเลยครับ จริงไม๊ครับว่า เวลาที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ แล้ว เราไม่มีวันรู้ว่าหากได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ แล้ว เราจะรู้สึกอย่างไร วันนี้ ผมตัดสินใจที่จะอ่านอีเมล์ของอาจารย์ทุกฉบับอีก ที่จริงแล้ว ผมจะทำเช่นนี้เป็นระยะ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้พลาดเมล์ฉบับไหนของอาจารย์เลย
สองสามวันที่ผ่านมานี้ ผมค่อนข้างเครียดครับเพราะมีงานมากเหลือเกิน และผมก็เกรงว่าผมจะทำงานเหล่านี้ให้หมดได้อย่างไรด้วยเวลาที่น้อยนิดและเงินทองที่จำกัดจำเขี่ยเช่นนี้ และแล้ว ผมก็ไปอ่านพบจดหมายของอาจารย์ฉบับหนึ่งที่ให้คำตอบที่เรียบง่ายและสมบูรณ์ที่สุดให้กับผม อาจารย์บอกว่า
“มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องทำให้กับตัวเองเสมอ นั่นคือ การพาตัวใจของเรากลับบ้านที่หนึ่งโดยการเฝ้าดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”
ผมอ่านเพียงเท่านั้นแหละ ใจของผมโล่งขึ้นมาทันทีครับ อาจารย์ ทำให้ผมมีความสุขมากทั้งวัน และผมสงสัยตัวเองเหลือเกินว่าทำไมผมจึงชอบใช้เวลาคิดถึงวันพรุ่งนี้มากเหลือเกิน
ช่วงเวลานี้ของปีก่อน ผมกำลังตกนรกอยู่ แต่ปีนี้ผมไม่ต้องเป็นบ้าเช่นนั้นอีกแล้ว ชีวิตคงต้องเป็นไปตามสิ่งที่ผมเลือกให้มันเป็นตราบใดที่ผมสามารถมีสติและพาตัวใจกลับบ้านได้ จริงไม๊ครับ อาจารย์
ผมรู้สึกว่าผมได้พัฒนาความสามารถที่จะอ่านเรื่องราวของอนาคตได้บ้างซึ่งช่วยผมได้มากทีเดียว การรับผัสสะของผมชัดเจนมากขึ้น และผมรู้สึกว่าผมสามารถรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นจริงอันมีผลกระทบถึงผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ
ผมได้พยายามทำใจของผมเป็นปกติโดยการพาตัวใจกลับบ้านเสมอ แ่ต่ผมต้องยอมรับครับว่าเจอรี่แข็งแรงและมีเล่ห์เหลี่ยมมากเหลือเกิน จนผมสงสัยว่าเมื่อไหร่เจอรี่จึงจะเลิกราและปล่อยให้ทอมอยู่อย่างเป็นสุขเสียบ้าง (ยิ้ม)
ขอให้อาจารย์มีความสุขในวันปีใหม่ครับ กรุณาส่งความระลึกถึงให้ครอบครัวของอาจารย์ด้วยครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
มาซง
2 มกราคม 2004
สวัสดีปีใหม่ค่ะ มาซง
ขอบคุณมากค่ะสำหรับจดหมายของคุณ ดิฉันรู้สึกดีใจมากค่ะที่คุณสามารถจับหลักการปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ได้ดีทีเดียว สิ่งที่คุณได้อธิบายในอีเมล์ของคุณนั้ันคือเป้าหมายที่ดิฉันต้องการให้ลูกศิษย์ของดิฉันทุกคนทำได้ คุณคงเห็นด้วยตนเองแล้วว่า คราใดที่คุณพาตัวใจกลับบ้านได้นั้น คุณก็เห็นผลของมันทันที คุณมีความสุขทันที โดยไม่ต้องรอนานเลย จริงไม๊
ที่จริงแล้ว ขบวนการปฏิบัติสติปัฏฐานตั้งแต่การปล่อยวางความคิดและพาตัวใจกลับมาอยู่กับของจริง ๆ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั้นเป็นเรื่องยากมากสำหรับทุกคน แต่ก็เป็นเพียงช่วงต้น ๆ ของการฝึกทักษะเท่านั้น คนที่มีความเพียร พยายาม ขยันฝึกแล้วละก็ ทักษะของเขาจะเก่งขึ้น และจะได้นิสัยที่ดีที่สุดไปอย่างหนึ่ง คือ นิสัยแห่งใจที่ยอมอยู่ติดบ้าน (มีสติอยู่กับฐาน) เมื่อนั้น เจ้าของชีวิตก็จะได้รับการคุ้มครองจากนิสัยใหม่หรือทักษะใหม่ของตนเอง จึงกลายเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกไปอีกคนหนึ่ง พูดโดยเปรียบเทียบแล้ว ใครที่พาตัวใจกลับบ้านได้ ในช่วงขณะนั้น ก็เปรียบเหมือนคน ๆ นั้นได้ก้าวย่างเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าแล้ว ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ มันก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำเลย นี่คือความโชคดีและร่ำรวยอย่างมากมายมหาศาล ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ การอยู่ในห้องที่สว่างแม้เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ยังดีกว่าการอยู่ในห้องมืดถึงล้านปี ดิฉันเชื่อเช่นนั้นนะ
ดิฉัน อยากจะถือโอกาสนี้อธิบายให้คุณทราบว่า ทำไมคุณจึงรู้สึกเป็นสุขมากเมื่อมีโอกาสพาตัวใจกลับมาอยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ คุณจำเรื่องรถไฟสองขบวนที่วิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน ที่ไอน์สไตน์พูดถึงเมื่อเขาพยายามอธิบายเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพได้หรือไม่ เรื่องรถไฟสองขบวนวิ่งในระดับเดียวกันนี้ เป็นเรื่องที่ดิฉันเรียนจากคุณครูสอนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยที่ดิฉันเรียน อยู่ชั้นมัธยมปลายแล้ว ซึ่งดิฉันก็ไม่เคยคิดถึงมันอีกเลยจนกระทั่งในช่วงสี่ห้่าปีให้หลังนี้ ดิฉันเริ่มคิดถึงมันบ่อยขึ้น ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่าอยากจะนำเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกับงานเขียนของดิฉันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้สักที
จนกระทั่งเทอมฤดูใบไม้ร่วงที่ดิฉันเพิ่งสอนเสร็จก่อนคริสมาสนี้เอง มีวันหนึ่ง ดิฉันต้ิองร้อง “ยูริก้า” ออกมาอีกอย่างดีใจ เพราะสามารถคิดเรื่องนี้ออกได้อย่างฉับพลันทันใด เหมือนการตรัสรู้ simultaneous enlightenment เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างคุณอาคีมีดีสนี่แหละ มาบัดนี้ ดิฉันจึงสามารถนำความคิดเรื่องรถไฟสองขบวนมาพูดและทำให้มันเป็นข้อเปรียบ เทียบของดิฉันเองเพื่อช่วยให้ลูกศิษย์เข้าใจเรื่องการฝึกปฏิบัติสติปัฏฐาน สี่ได้ดีขึ้น
นี่ จึงเป็นครั้งแรกที่ดิฉันจะอธิบายเรื่องนี้ด้วยการเขียน กรุณาติดตามให้ดีนะคะ เพราะถ้าคุณสามารถเข้าใจได้แล้วละก็ คุณจะมีเหตุผลที่ดีที่จะให้กำลังใจและช่วยกระตุ้นให้คุณปฏิบัติสติปัฏฐานมาก ขึ้น[1]
คำใหญ่ ๆ
หากคุณได้อ่านหนังสือของดิฉันทุกเล่มแล้วละก็ คุณคงต้องทราบแล้วว่า สิ่งที่ดิฉันเรียกว่า “คำใหญ่ ๆ” นั้น ดิฉันหมายถึง พระนิพพาน พระเจ้า เต๋า ต้นไม้แห่งชีวิต ชีวิตอมตะ สัจธรรมอันสูงสุด ซึ่งดิฉันได้ตั้งคำศัพท์ของตนเองขึ้นใหม่ว่า ผัสสะบริสุทธิ์ ซึ่งคำเหล่านี้ล้วนเป็นสภาวะเดียวกับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดิฉันมักจะเลี่ยงคำใหญ่ ๆ ที่อิงศาสนาเหล่านั้นเสมอ และใช้คำว่า ผัสสะบริสุทธิ์ แทน แต่ด้วยข้อเปรียบเทียบที่จะนำเสนอนี้ ดิฉันจะสามารถนำคำใหญ่ ๆ เหล่านี้มาพูดประสานกันได้อย่างสอดคล้องกับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นคำที่เนื่องกับศาสนาแต่อย่างใด เป็นคำที่มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้สามารถเชื่อมโยงได้ง่าย ๆ
ผู้รู้ องค์ประกอบที่ขาดไม่ได้
เพื่อช่วยให้คุณสามารถไปถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิตได้เร็วขึ้น ดิฉันจะเริ่มต้นด้วยการอธิบายเรื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ว่ามันมีหน้าตาอย่างไรเสียก่อน
คุณอาจจะคิดว่านั่นเป็นคำพูดที่แสนประหลาดและเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยคิดมาก่อน ทำไมจึงต้องรู้จักหน้าตาของที่นี่ เดี๋ยวนี้ ด้วย และจะรู้จักมันได้หรือ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องเวลาซึ่งไม่น่าจะมีรูปร่างหน้าตา ตรงนี้ละค่ะ คือเหตุผลที่คนไม่รู้จักพระเจ้ากับพระนิพพาน เพราะเขาไม่รู้จักหน้าตาของ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เปรียบเหมือนว่า คุณต้องการมาหาบ้านหลังหนึ่ง แต่คุณกลับไมู่รู้ว่าบ้านหลังนั้นมีหน้าตาอย่างไร บ้านเลขที่เท่าไร ถนนไหน เมืองไหน ประเทศไหน เมื่อคุณไม่มีข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ แล้วคุณจะไปหาบ้านหลังนั้นพบได้อย่างไร ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องนามธรรม เรื่องของชีวิตจิตใจ จึงยากมากขึ้นหลายเท่าตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีผู้รู้นำทาง เพราะผู้รู้จริงจะรู้จักหน้าตาของพระนิพพานหรือพระเจ้า จึงสามารถบอกทางคุณได้ หรือ บอกให้คุณมองหาบ้านที่มีลักษณะเช่นนี้ ๆ
ในกรณีของคุณซึ่งเป็นชาวคริสต์ และ รักพระเจ้ามาก หากคุณต้องการไปให้ถึงดินแดนของพระเจ้าละก็ แน่นอน คุณจำเป็นต้องมีข้อมูลหลัก ๆ ว่า อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหนเสียก่อน มีหน้าตาอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวพุทธอย่างดิฉันต้องทราบเช่นกันว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหนและมีหน้าตาอย่างไรเสียก่อน จึงไปหาถูก มิเช่นนั้นแล้ว คุณในฐานะผู้เดินทางจะเริ่มต้นไม่ถูกเลย ซึ่งคุณย่อมเห็นแล้วว่า ผู้นำทางที่รู้ทางจริง ๆ หรือ ผู้รู้ หรือ ไกด์ของชีวิตนี่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุดที่จะช่วยให้ผู้เดินทางชีวิตทั้งหลายไปถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิตได้ หากไม่มีบุคคลเหล่านี้มาช่วยนำทางให้เราแล้ว การเดินทางย่อมไม่เกิด ชาวคริสต์ก็มีพระคริสต์เป็นผู้นำทางชีวิต ชาวพุทธก็มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทาง ชาวอิสลามก็มีพระอัลเลาะห์เป็นผู้นำทาง เป็นต้น
ปัจจุบันจริง ๆ คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้
ดิฉันจึงขอสรุปก่อนว่า หากคุณต้องการรู้จักพระเจ้าของคุณละก็ คุณต้องพยายามทำความเข้าใจเรื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ให้ได้เสียก่อน
ชาวพุทธที่ฝึกวิปัสนาหรือสติปัฏฐานสี่นั้น ครูบาอาจารย์มักเตือนเสมอว่าขอให้จับ “ปัจจุบันขณะ” ให้ทัน ซึ่งคนส่วนมากจะรู้สึกเหมือนกันหมดว่า การจับปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่รู้จะจับอย่างไร มันจึงจะอยู่มือ จับ ๆ อยู่ เดี๋ยวมันก็หลุดมือไปแล้ว คิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว ตรงนี้แหละ เราจึงต้องมาทำความรู้จักกับตัวปัจจุบันจริง ๆ นี้เสียก่อน รู้จักหน้าตามันเสียก่อน จะได้จับให้มันติดคามือเราได้
ตัวปัจจุบันจริง ๆ ก็คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง ขอให้คุณหานาฬิกามาเรือนหนึ่งซึ่งมีเข็มวินาทีที่ไม่ได้หยุดเป็นท่อน ๆ แต่เป็นเข็มวินาทีที่กวาดไปตลอดเวลาอย่างไม่หยุดยั้ง อย่าเอานาฬิกาดิจิตอลนะคะ มันไม่มีประโยชน์สำหรับงานนี้ค่ะ นาฬิกาบางยี่ห้อจะมีเข็มวินาทีชนิดกวาดไปตามหน้าปัดค่ะ ไม่ต้องไปซื้อนะคะ ขอให้นึกภาพเท่านั้น ธรรมชาติของที่นี่ เดี๋ยวนี้ มีการเคลื่อนที่เหมือนกับเข็มวินาทีที่กวาดไปตลอดเวลา อย่างไรก็อย่างนั้นล่ะค่ะ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เคลื่อนไปในลักษณะคงที่ สม่ำเสมอ และแน่นอน ตั้งแต่เมื่อไรและจะไปจบที่เมื่อไร ไม่ต้องถามนะคะ มันไม่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องรู้[2]
เข้าถึงสัจธรรมในฐานะที่เป็นที่นี่ เดี๋ยวนี้[3]
ถ้าคุณเคยนั่งรถไฟแล้ว คุณจะรู้ว่าหากรถไฟสองขบวนสามารถวิ่งด้วยความเร็วพร้อมกันแล้ว คนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างของรถไฟที่หันหน้าเข้าหากันนั้นจะไม่รู้ว่าตนเองกำลังเคลื่อนที่อยู่ หากไม่มองไปที่เสาไฟฟ้าข้างทาง ต้องสมมุติต่อเสียหน่อยว่า รถไฟคันที่เรานั่งอยู่นั้นสามารถวิ่งได้ราบเรียบโดยไม่มีการสั่นสะเทือนใด ๆ เลย แม้น้ำในแก้วก็ไม่กระเพื่อมแม้แต่น้อยนิด เมื่อดิฉันเป็นเด็ก ๆ ดิฉันมักต้องขึ้นรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพงไปหาคุณพ่อที่ลพบุรีเมื่อปิดเทอม จึงสังเกตเห็นข้อเท็จจริงนี้ เมื่อมาเรียนเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพอย่างย่อ ๆ คุณครูชั้นมัธยมพูดเรื่องรถไฟสองขบวน จึงเข้าใจได้ทันทีเพราะมีประสบการณ์มาก่อน
สิ่งที่ดิฉันต้องการเปรียบเทียบคือ จะสมมุติให้รถไฟขบวนแรกเป็นเวลาปัจจุบันจริง ๆ หรือ “รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้” ส่วนรถไฟขบวนที่สองที่จะเดินขนานกับรถไฟขบวนแรกคือตัวเรา ตัวมนุษย์แต่ละคนที่มีจิตใจ หรือ มีความคิด ความจำ ความรู้สึก รถไฟขบวนที่สองนี้ ดิฉันจะเรียกมันว่า “รถไฟขบวนชีวิต” เพราะเป็นสิ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของมนุษย์ทุกคน
เป้า หมายที่เราต้องการบรรลุคือ เราในฐานะที่เป็นรถไฟขบวนชีวิตนี้ จะต้องสามารถขับรถไฟของเราเพื่อวิ่งให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ที่วิ่งด้วยความเร็วคงที่ อย่างสม่ำเสมอ วิ่งไปเรื่อย ๆ ของมันอยู่เช่นนั้นอย่างไม่เคยหยุดยั้งเหมือนเข็มวินาทีของนาฬิกาที่กวาดไป เรื่อย เมื่อรถไฟสองขบวนนี้สามารถวิ่งได้ระดับเดียวกันแล้วละก็ ค่าคงที่ระหว่างขบวนจะเกิดขึ้นทันที โดยที่ตัวเราจะสามารถประกบ เดินเคียงข้างกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ได้ทันที หรือสามารถอธิบายได้เช่นกันว่า ในขณะนั้น ๆ ตัวเราได้กลายเป็นที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตัวเราได้กลายเป็นปัจจุบันขณะแล้ว และหากที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ สัจธรรมอันสูงสุด ย่อมหมายความว่า ตัวเราได้เข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดในลักษณะเช่นนี้
วาดภาพที่ ๑ วาดรูปของรถไฟสองขบวนเดินขนานกัน (ในลักษณะขวางหรือตั้งก็ได้) ขบวนซ้ายมือเขียนว่า รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขบวนขวามือเขียน รถไฟขบวนชีวิต ในระหว่างรถไฟสองขบวนทำลูกศรขวาง <------à และเขียนใต้ภาพว่า
“เมื่อรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ กับรถไฟขบวนชีวิตวิ่งได้ระดับเดียวกันแล้ว จะเกิดค่าคงที่หรือค่าปกติของจักรวาล มนุษย์เข้าถึงสัจธรรมได้ด้วยวิธีนี้”
ถ้าแทนรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นคำใหญ่ ๆ ของศาสนา
คุณจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น หากดิฉันจะเรียกรถไฟขบวนแรกว่า ขบวนพระเจ้าแทนที่จะเรียกขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้้ เมื่อใดที่คุณผู้ขับรถไฟชีวิตสามารถวิ่งได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจ้าแล้วละก็ เมื่อนั้น คุณก็สามารถเดินเคียงข้างไปกับพระเจ้าของคุณทันที คุณจะสามารถเห็นใบหน้าของพระเจ้าได้ชัดเจน การเข้าถึงดินแดนของพระเจ้าคือ การเข้าถึงได้ด้วยวิธีนี้
วาดภาพที่ ๒ ให้เหมือนภาพแรก แต่ให้มีคนหนึ่งคนนั่งอยู่ริมหน้าต่างบนรถไฟทั้งสองขบวน มองหน้าเข้าหากัน เขียนภายใต้ภาพว่า “เมื่อรถไฟขบวนชีวิตวิ่งได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจ้าหรือพระนิพพานแล้ว เจ้าของชีวิตก็จะเห็นหน้าพระเจ้าหรือพระนิพพานได้อย่างชัดเจน”
หากรถไฟขบวนแรกเป็นต้นไม้แห่งชีวิต The Tree of Life ขอให้คุณนึกภาพที่สนุกสนานเช่นนี้ว่า เมื่อคุณสามารถนำรถไฟชีวิตมาวิ่งขนานกันแล้วละก็ เมื่อนั้น พระเจ้ากำลังหยิบยื่นผลไม้แห่งชีวิตจากรถไฟขบวนของท่านให้กับคุณอยู่ คุณก็สามารถรับผลไม้นั้นจากมือของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย ไม่หลุดจากมือ เพราะคุณสามารถขับรถไฟขบวนชีวิตของคุณได้ระดับเดียวกับขบวนของพระเจ้า คุณจึงสามารถรับประทานผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานให้คุณใน ลักษณะเช่นนี้
วาดภาพให้ผู้อ่านเห็นพระเจ้ากำลังหยิบยื่นผลไม้แห่งชีวิตให้กับคน ๆ หนึ่งในรถไฟขบวนชีวิต
หากรถไฟขบวนแรกเป็นขบวนพระนิพพาน เมื่อนั้น คุณก็ได้เข้าถึงพระนิพพานแล้ว เห็นหน้าตาของพระนิพพานว่าเป็นอย่างไรแล้ว เพราะกำลังเดินขนานกับพระนิพพาน
หากรถไฟขบวนแรกเป็นการใช้ชีวิตอย่างเป็นอมตะ หรือ การเข้าถึงสภาวะของ เต๋า การสามารถขับรถไฟขบวนชีวิตให้ขนานกับขบวนแรกได้ เมื่อนั้น คุณก็กำลังใช้ชีวิตอย่างเป็นอมตะแล้ว หรือ เข้าถึงสภาวะของเต๋าแล้ว
โดยใช้การเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่วิ่งขนานกันเช่นนี้ คุณจะเห็นภาพพจน์ได้ชัดเจนมากขึ้นว่า สภาวะสัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้เป็นสภาวะที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่เดินเหินแต่อย่างใด เพราะอย่างที่ไอน์สไตน์ได้พูดแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพทั้งหมดนี้กำลังเคลื่อนอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งเวลา นี่จึงเป็นความยากของการเข้าถึงสัจธรรมในขั้นสูงสุด เพราะ มันไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ ให้เราจับจองได้ แตะต้องได้เหมือนวัตถุที่จับมาวางให้มันอยู่นิ่งเฉยได้ ฉะนั้น การเข้าถึงสัจธรรมสูงสุด เข้าถึงพระเจ้า เข้าถึงนิพพาน เข้าถึงชีวิตอมตะ จำเป็นต้องทำให้มันเกิดขึ้นด้วยวิธีการของการขับรถไฟชีวิตให้วิ่งทันกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ทันเท่านั้น ต้องอยู่ในลักษณะที่มีความเร็วเท่ากันอย่างสนิท ไม่เหลื่อมล้ำ หรือต่างระดับกันแม้แต่น้อยนิด เพราะหากพระเจ้ากำลังหยิบยื่นผลไม้แห่งชีวิตให้คุณละก็ คุณขับรถไฟเหลื่อมล้ำไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น คุณก็คว้าผลไม้นั้นไม่ได้แล้ว จึงต้องให้พอดิบพอดีจริง ๆ พอทำได้แล้วละก็ เมื่อนั้น เราในฐานะปัจเจกชนจะเข้าถึงสัจธรรม เข้าถึงพระเจ้า พระนิพพาน ที่นำความสุขอันเป็นอมตะให้เราได้ทันที
ความคิดเป็นตัวแปร
หากเรากำลังพูดถึงรถไฟสองขบวนจริง ๆ แล้ว ย่อมไม่มีปัญหา เพราะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้รถไฟสองขบวนวิ่งในระดับเดียวกัน ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า เรื่องรถไฟนี้เป็นเพียงสิ่งเปรียบเทียบเท่านั้น รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่มีปัญหา เพราะมันวิ่งของมันเองอยู่เช่นนั้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ช้า ไม่เร็ว รักษาระดับอย่างคงที่มาโดยตลอด ตั้งแต่เมื่อไรจนถึงเมื่อไร ไม่ต้องถาม จึงเป็นปัจจัยคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอนันตกาล ปัญหาอยู่ที่รถไฟขบวนชีวิต คือ มนุษย์ปัจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีความคิด ความจำ กับความรู้สึก หรือ มีเจอรี่อยู่ในหัวในใจทั้งสิ้น เจอรี่นี้แหละที่จะสร้างปัญหาทำให้รถไฟชีวิตวิ่งช้าหรือเร็วกว่าขบวนแรกเสมอ และอย่างที่คุณบอกนั่นแหละ คุณได้รู้ฤทธิ์ของเจอรี่แล้วว่ามันมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากแค่ไหน
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มีพื้นที่เล็กและบางมาก
หากคุณเข้าใจธรรมชาติของปัจจุบันขณะหรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ได้อย่างถ่องแท้จนถึงแก่นของมันแล้วละก็ คุณจะเห็นว่า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นเหมือนหมอนอิงที่อยู่ระหว่าง “อดีตหมาด ๆ” กับ “อนาคตจวนเจียน” เสมอ เพราะที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ มันเคลื่อนตลอดเวลา ฉะนั้น ในขณะที่ ปัจจุบันขณะกำลังเคลื่อนไปในอัตราคงที่นั้น มันจะสร้างอดีตหมาด ๆ กับอนาคตจวนเจียนเสมอ ไม่เชื่อ คุณก็ลองหันกลับไปดูที่หน้าปัดนาฬิกาอีกครั้ง พื้นที่เล็ก ๆ ที่เข็มวินาทีกวาดไปนั้นคือ ปัจจุบันขณะที่แท้จริง หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งมีเพียงนิดเดียวเท่านั้น และมันก็ไม่ได้จับจองที่ไว้ถาวรเลย มันเคลื่อนไปเรื่อย จึงมีอดีตและอนาคตที่สด ๆ ร้อน ๆ เสมอเช่นกัน อดีต กับ อนาคต จะกินพื้นที่ของชีวิตมากกว่าปัจจุบันขณะหรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ซึ่งกินที่นิดเดียว คุณดูหน้าปัดนาฬิกาอีกสิ เข็มวินาทีกินที่นิดเดียวเสมอ พื้นที่นอกเหนือจากนั้นตั้งแต่เลข ๑๒ จนจดเลข ๑๒ อีก ล้วนเป็นอดีตและอนาคตทั้งสิ้น ขอให้คุณอย่าลืมว่า เราไม่ได้พูดถึงเวลาเพียง ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้นนะ เพราะทุกอย่างที่ผ่านพ้นจากที่นี่ เดี๋ยวนี้ แล้ว ล้วนเป็นอดีตหมด อะไรที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ยังเลียไม่ถึงจึงจัดเป็นอนาคตหมด
ความคิดคือกล่องเวลาของอดีตและอนาคต
เพื่อการเข้าใจอย่างรวบรัด ดิฉันอยากให้คุณเข้าใจว่า ทุกครั้งที่คุณคิด แม้คุณจะกำลังคิดเรื่องกลาง ๆ ของปัจจุบันอยู่แท้ ๆ ก็ตาม ขอให้คุณเชื่อดิฉันว่า ในขณะนั้น ๆ คุณกำลังติดอยู่ในกล่องเวลาของอดีตและอนาคตแล้วโดยไม่มีทางเลือก เช่น คุณมองไปที่กำแพงข้างหน้าคุณที่ทาสีเขียว และคุณก็คิดโดยการพูดดัง ๆ ในหัวว่า “กำแพงสีเขียว” เท่านั้นแหละ ฟังดูแล้ว ไม่เห็นน่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต แต่ที่จริง เป็นแล้วค่ะ คุณได้ติดอยู่ในกล่องเวลาของอดีตแล้ว เพราะอะไร เพราะคำว่า กำแพง กับ สีเขียว ล้วนเป็นความรู้ที่คุณได้จำมาจากอดีต จริงหรือไม่ คุณมองสิ่งก่อสร้างสี่เหลี่ยมที่อยู่เบื้องหน้า คุณจำได้ว่า ของหน้าตาอย่างนี้เรียกว่า กำแพง เมื่อคุณเห็นสี คุณก็จำได้ว่า สีเช่นนี้เขาเรียก สีเขียว[4]
ฉะนั้น คุณเห็นแล้วหรือยังว่า แม้ความคิดที่คุณคิดว่าเนื่องกับปัจจุบันแท้ ๆ เช่น กำแพงสีเขียว นี้ก็ยังกลายเป็นเรื่องของอดีตไปได้ แม้ลมหายใจเข้าออกของคุณที่กำลังเกิดเดี๋ยวนี้ก็ยังเต็มไปด้วยอดีตหมาด ๆ และอนาคตจวนเจียน ตลอดเวลา แล้วคุณจะเอาอะไรกับความคิดกลุ่มที่คุณคิดถึงเรื่องราวของอดีตจริง ๆ เช่น เรื่องราวที่เกิดเมื่อนาทีก่อน ชั่วโมงก่อน เมื่อเช้านี้ เมื่อคืนนี้ เมื่อวานนี้ เมื่อวานซืน เมื่ออาทิตย์ก่อน เดือนก่อน ปีก่อน สิบปีก่อน ห้าสิบปีก่อน ร้อยปีก่อน พันปีก่อน ห้าพันปีก่อน หรือ ล้าน ๆ ปีก่อน ทุกครั้งที่คุณคิดเรื่องของอดีตเหล่านี้ ก็เท่ากับคุณกำัลังนั่งแช่อยู่ในกล่องเวลาของอดีต หากคุณกำลังคิดเรื่องของอนาคต คุณก็กำลังนั่งแช่อยู่ในกล่องเวลาของอนาคต และคุณก็นั่งแช่อยู่เช่นนั้น ไม่ได้เคลื่อนไปไหนอย่างแท้จริงเลย ในขณะที่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การติดในความคิดนี้แหละเป็นเรื่องการเดินทางไปกับยานพาหนะเวลา time machine ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่าเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์มากมายนัก
อย่าเพิ่งตกใจนะคะ หากดิฉันพูดว่า ความรู้ทางโลกทั้งหมดที่คุณกำลังไขว่คว้าด้วยความเครียดเพื่อให้ได้ปริญญามาอย่างยากลำบากนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการศึกษาที่ติดอยู่ในกล่องเวลาทั้งสิ้น ยังไม่ได้เข้าใกล้สัจธรรมเลยแม้หลายสาขาอ้างว่ากำลังแสวงหาอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะดาราศาสตร์ กว่าแสงของดาวบางดวงเดินทางมาถึงโลก ดาวดวงนั้นก็สาบสูญไปนานมากแล้ว แต่ไม่ต้องตกใจ ละทิ้งการเรียนนะคะ ความรู้ทางโลกก็สำคัญและยังจำเป็นอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้ดีที่สุดแล้ว ควรเรียนเคียงคู่ไปกับความรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยเท่านั้น ก็จะสมบูรณ์ ไม่แตกซ่าน ไม่สร้างปัญหา ไม่เป็นความรู้เหมือนดาบสองคม
ความคิดทำให้รถไฟสองขบวนวิ่งต่างระดับกัน
เมื่อนำเรื่องกล่องเวลาของอดีตและอนาคตมาเปรียบเทียบกับรถไฟสองขบวนนี้แล้ว ย่อมหมายความว่า ทุกครั้งที่คุณกำลังคิดถึงอดีตนั้น รถไฟชีวิตจะเดินช้ากว่ารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ และเมื่อใดที่คุณกำลังคิดถึงเรื่องราวของอนาคตแล้วละก็ คุณก็กำลังนั่งอยู่ในกล่องเวลาของอนาคต จึงทำให้รถไฟชีวิตวิ่งขึ้นหน้า เร็วกว่ารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไปทันที
ฉะนั้น จึงขอให้เข้าใจเช่นนี้ว่า ทุกครั้งที่คุณคิดเท่านั้นแหละ คุณก็ได้เข้าไปนั่งในกล่องของเวลาที่เป็นอดีตหรืออนาคตแล้วทันที คุณจึงไม่สามารถขับรถไฟชีวิตให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ รถไฟของคุณถ้าไม่วิ่งช้าเกินไป ก็วิ่งเร็วเกินไป จึงใช้ไม่ได้
หากให้รถไฟขบวนแรกเป็นพระเจ้าหรือพระนิพพาน คุณก็พลาดที่จะเห็นหน้าพระเจ้าหรือพระนิพพานอย่างเต็มที่ พลาดโอกาสที่จะอยู่กับพระเจ้าหรือพระนิพพาน เพราะคุณวิ่งไม่ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจ้าหรือขบวนพระนิพพาน
วาดรูปรถไฟขบวนที่นี่เดี๋ยวนี้ให้อยู่ซ้ายมือ ส่วนขบวนชีวิตที่อยู่ขวามือนั้นให้วาดเหลื่อมไปด้านหลัง มีคนหนึ่งคนนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างทั้งสองขบวน เขียนลูกศรขวาง <------à ที่อยู่ระหว่างกลาง เขียนใต้ภาพว่า “เมื่อเจ้าของชีวิตติดอยู่ในความคิดของอดีต รถไฟขบวนชีวิตจะเดินช้ากว่ารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทำให้ค่าคงที่ของจักรวาลหายไป จึงไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ จึงไม่เห็นหน้าพระเจ้า จึงไม่รู้จักพระนิพพาน”
หากให้รถไฟขบวนแรกเป็นพระเจ้าผู้กำลังหยิบยื่นผลไม้แห่งชีวิตให้คุณ และคุณติดความคิดของอดีตอยู่ คุณก็ไม่สามารถรับผลไม้ชีวิตจากพระหัตถ์ของท่านได้ เพราะวิ่งไม่ทันท่าน จึงพลาดโอกาสรับประทานผลไม้แห่งชีวิต
วาดรูปของพระเจ้าหยิบยื่นผลไม้ชีวิตให้ในรถไฟขบวนหนึ่ง และรถไฟชีวิตอยู่เยื้องไปด้านหลัง เขียนใต้ภาพว่า เมื่อติดความคิดของอดีต ก็ไม่สามารถรับผลไม้แห่งชีวิตจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้
ในทำนองเดียวกัน หากให้รถไฟขบวนแรกเป็นสัจธรรมอันสูงสุด หรือเป็นการใช้ชีวิตอย่างเป็นอมตะ Eternal life คุณก็พลาดโอกาสเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุด หรือพลาดการใช้ชีวิตอย่างเป็นอมตะ เพราะคุณไม่สามารถขับรถไฟของคุณให้ได้ระดับเดียวกับขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง
ในทางตรงกันข้าม หากคุณติดอยู่กับความคิดของอนาคต รถไฟขบวนชีวิตของคุณก็จะวิ่งเร็วกว่ารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขบวนพระเจ้า พระนิพพาน สัจธรรมอันสูงสุด หรือ ขบวนชีวิตอมตะ ค่าคงที่ของจักรวาลจึงหายไป ทำให้คุณมองไม่เห็นพระนิพพานหรือพระเจ้า
วาดรูปรถไฟขบวนที่นี่เดี๋ยวนี้ให้อยู่ซ้ายมือ ส่วนขบวนชีวิตที่อยู่ขวามือนั้นให้วาดเหลื่อมไปด้านหน้า มีคนหนึ่งคนนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างทั้งสองขบวน เขียนลูกศรขวาง <------à ที่อยู่ระหว่างกลาง เขียนใต้ภาพว่า “เมื่อเจ้าของชีวิตติดอยู่ในความคิดของอนาคต รถไฟขบวนชีวิตจะเดินเร็วกว่ารถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทำให้ค่าคงที่ของจักรวาลหายไปเช่นกัน จึงไม่เห็นพระเจ้าหรือพระนิพพาน”
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องอาศัยความคิด
เมื่อความคิดทุกความคิดเป็นเรื่องของอดีตและอนาคตแล้วละก็ ย่อมหมายความว่าในขณะที่ผู้ขับรถไฟขบวนชีวิตสามารถทำใจให้อยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ปัจจุบันขณะได้จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ บาง ๆ นั้นแหละ ภายในใจของผู้ขับรถไฟจะต้องไม่มีความคิดเลย ทันทีที่ใจของเราปลอดจากความคิด (จิต) หรือ ทอมหลุดจากการถูกรบกวนของเจอรี่แล้วละก็ ช่วงเวลานั้นเองที่ผู้ขับรถไฟจะสามารถนำรถไฟขบวนชีวิตมาเดินขนานกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้ได้ทันที จึงสามารถเห็นใบหน้าของพระเจ้า สามารถรับประทานผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ เห็นพระนิพพาน เห็นสัจธรรมอันสูงสุด และกำลังใช้ชีวิตอมตะอยู่
ในภาคปฏิบัติจริง ๆ หากคุณต้องการอยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้จริง ๆ ละก็ ไม่จำเป็นต้องไป “จับตัวปัจจุบัน” ให้ยุ่งยาก ทำอย่างเดียวเท่านั้น คือ พาตัวใจกลับบ้านที่หนึ่งกับสองโดยไม่ต้องมีเสียงในหัว ขอให้รู้ลมหายใจ การเคลื่อนไหว และความรู้สึกของกายอย่างเงียบกริบในหัวจริง ๆ ทำเพียงเท่านี้ก็คือ การจับตัวปัจจุบันได้แล้ว อยู่กับปัจจุบันขณะแล้ว ทำเพียงเท่านั้นก็ได้ชนบ้านที่สี่แล้ว สามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์แล้ว บ้านทั้งสี่หลังทะลุกันเป็นบ้านใหญ่หลังเดียวแล้ว คุณก็ได้ขับรถไฟขบวนชีวิตของคุณขนานกับรถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้แล้ว
ฉะนั้น ดิฉันจะสรุปให้คุณเห็นอย่างชัดเจนในรูปของสมการ ดังนี้
อดีต อนาคต = ความคิด ความจำ ความรู้สึก = ผัสสะไม่บริสุทธิ์
ที่นี่ เดี๋ยวนี้ = ไม่คิด ไม่จำ ไม่รู้สึก (เฉย ๆ) = ผัสสะบริสุทธิ์
วาดรูปที่ ๕ รถไฟขบวนที่นี่ เดี๋ยวนี้อยู่ซ้ายมือ และขบวนชีวิตอยู่ขวามือ มีรูปของคน ๆ หนึ่งนั่งริมหน้าต่างของทั้งสองขบวน เขียนลูกศร <------à ระหว่างรถไฟสองขบวน และเขียนภายใต้ภาพว่า “เมื่อเจ้าของชีวิตสามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ รถไฟสองขบวนจะวิ่งขนานกันทันที เข้าถึงพระเจ้าและพระนิพพานทันที”
สัจธรรมไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการคิด
การเปรียบเทียบด้วยรถไฟสองขบวนเช่นนี้จะสามารถทำให้คุณเห็นได้ชัดเจนว่า ประสบการณ์ของพระเจ้าและพระนิพพานนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของการจินตนาการด้วยความคิดนึกแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องการมีประสบการณ์ เป็นเรื่องการใช้อายตนะของเราเข้าไปสัมผัส ไปดู ฟัง ดมกลิ่น ลิ้นชิมรส และสัมผัสกับตัวพระเจ้า ตัวพระนิพพาน หรือตัวสัจธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งเปรียบเทียบได้กับลักษณะของการขับรถไฟขบวนหนึ่งให้ได้ระดับขนานกับรถไฟอีกขบวนหนึ่ง จึงจะเห็นหน้าซึ่งกันและกันได้อย่างชัดเจนเหมือนเป็นคน ๆ เดียวกันด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นวิธีการเข้าถึงปรากฏการณ์หนึ่งในธรรมชาติที่เป็นสัจธรรม เป็นความจริงในขั้นอันติมะที่ไม่มีอะไรอื่นไปเหนือมันได้อีกแล้ว
สัจธรรมเปรียบเทียบได้กับการเกิดขึ้นของ “ตัก”
ข้อเปรียบเทียบอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของสภาวะสัจธรรม คือ เหมือนการทำให้เกิดสภาวะของ “ตัก” ที่เกิดได้เมื่อนั่งลง และสามารถเอาของมาวางลง หรือให้ลูกหลานตัวเล็ก ๆ ได้นั่งเล่น สภาวะตักนี้จะไม่เกิด หากคนไม่ยอมนั่ง แต่พอนั่งลงปุ๊บ ตักเกิดทันที การเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดจึงเหมือนการเกิดขึ้นของตัก ไม่ใช่เป็นเรื่องของการอ่านหนังสือให้รู้ว่ามีสภาวะตักเมื่อนั่งลง แต่เป็นเรื่องการทำสภาวะตักให้เกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างกันมาก ต่อให้คุณรู้ว่าตักเป็นอย่างไร เกิดได้อย่างไรจากตำรับตำรา แต่หากคุณไม่ยอมนั่ง ตักก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับคุณ หากคุณเอาแต่อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือพระนิพพาน แต่ไม่ยอมทำให้มันเกิดเป็นจริงขึ้นมา คุณก็ได้แต่ตัวหนังสือ ไม่มีวันได้ของจริงแน่นอน
วาดรูปที่ ๖ วาดภาพของคน ๓ คนที่กำลังยืน เดิน และนอน เขียนภายใต้ภาพว่า “สภาวะตักไม่เกิดกับคนยืน เดิน และนอน เหมือนคนเข้าไม่ถึงพระนิพพานเมื่อยังติดอยู่ในกล่องความคิดของอดีตและอนาคต”
วาดรูปที่ ๗ วาดภาพของคนนั่งบนเก้าอี้ และเขียนภายใต้ภาพว่า “สภาวะตักจะเกิดกับคนที่ยอมนั่งลงเท่านั้น เมื่อตัวใจหลุดจากความคิดโดยการฝึกพาตัวใจกลับบ้านแล้ว เจ้าของชีวิตจะเข้าถึงพระนิพพานได้ทันทีในขณะนั้น ๆ”
จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น คุณจะเห็นได้ว่า ตัวปัญหาใหญ่ในที่นี้คือ ความคิด ที่ ทำให้ผู้ขับรถไฟชีวิตติดอยู่ในกล่องเวลาของอดีตและอนาคต จึงทำให้รถไฟชีวิตวิ่งไม่ได้ระดับเดียวกับรถไฟพระเจ้าหรือพระนิพพาน ตรงนี้แหละ มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องพึ่งพาความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะจู่ ๆ จะบอกให้คนไม่คิด ไม่จำ ไม่รู้สึก นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ จำเป็นต้องทำอย่างมีหลักการ จำเป็นต้องมีผู้รู้จริงมาบอกให้ และพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ผู้รู้จริงท่านแรกในโลกที่สามารถบอกเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันได้ว่า จะทำอย่างไรจึงจะทำให้ความคิดหลุดออกและว่างจากหัวของเราได้ เพื่อว่าในขณะนั้น ๆ เราจะได้นำรถไฟชีวิตวิ่งไปให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจ้าหรือพระนิพพาน
สติปัฏฐานสี่คือคำตอบ
วิธีการที่จะทำใจของเราให้ว่างจากความคิด ความจำ และความรู้สึก ก็โดยการฝึกสติปัฏฐานสี่ หรือ วิปัสสนา ซึ่งภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับบ้าน Bringing your mental self back home. ทุกครั้งที่ผู้ฝึกสติปัฏฐานสามารถพาตัวใจกลับบ้านหลังใดหลังหนึ่งในสี่บ้าน (สี่ฐาน) ได้แล้ว เมื่อนั้น ความคิด ความจำ ความรู้สึก ซึ่งเป็นกล่องเวลาของอดีตและอนาคตก็จะหลุดลุ่ยออกจากหัวของเรา ทำให้ตัวใจของเราว่างจากจิตหรือความคิดหรือเจอรี่ จึงทำให้เราสามารถมายืนอยู่ต่อหน้าพระนิพพาน หรือ พระเจ้า หรือ สัจธรรมอันสูงสุดได้ทันที รถไฟทั้งสองขบวนจึงสามารถวิ่งได้ในระดับเดียวกันด้วยวิธีการฝึกวิปัสสนาหรือพาตัวใจกลับบ้านนี่เอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ปฏิบัติสามารถเข้าบ้านที่สี่ได้แล้ว บ้านทั้งสี่หลังจะถูกทำให้ทะลุเป็นบ้านหลังใหญ่มากหลังเดียวเท่านั้น แต่หลังเดียวนี้จะมีความใหญ่โตครอบจักรวาลเลยทีเดียว ผู้ปฏิบัติจะเกิดปัญญาเข้าใจชีวิตของตนเองอันเนื่องกับจักรวาลที่ตนอยู่ การจะเข้าบ้านหลังใหญ่หลังเดียวนี้ได้ คือ การปฏิบัติสติปัฏฐานจนสามารถเข้าบ้านที่สี่หรือรับ “ผัสสะอย่างบริสุทธิ์” ได้นั่นเอง
ใคร ๆ ก็คิดออกได้
ดิฉันมีลูกศิษย์ชายคนหนึ่งชื่อจามาล เป็นลูกครึ่งอังกฤษกับอิหร่านและนับถือศาสนาอิสลาม เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามีลักษณะของความเป็นปัญญาชนเต็มตัว เรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ คุณพ่อเป็นนักการเมือง จึงไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ วันหนึ่งดิฉันได้อธิบายเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในลักษณะที่ดิฉันอธิบายในจดหมายนี้แหละ ดิฉันสังเกตได้ว่า หนุ่มจามาลฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมากกว่าใคร มีการพยักหน้าแบบเห็นด้วยอยู่บ่อยครั้ง พอจบชั่วโมง จามาลเข้ามาหาดิฉันและพูดอย่างตื่นเต้นว่า
“คุณซูครับ ผมขออนุญาตคุยกับคุณสักครู่ได้ไหมครับ ผมต้องการให้คุณดูอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมตื่นเต้นและดีใจมากที่สุดในสิ่งที่คุณได้พูดไปในชั่วโมงนี้ คุณได้ให้คำตอบในสิ่งที่ผมต้องการรู้มานานแล้ว ผมตื่นเต้นจนบอกไม่ถูกแล้วครับนี่”
จามาลได้นำกระดาษขาวแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋าของเขา เมื่อคลี่ออก ก็เป็นแผ่นใหญ่พอสมควร มีการขีดเขียนอะไรมากมาย ในท่ามกลางตัวหนังสือและภาพเหล่านั้นก็มีหนังสือตัวใหญ่ ๆ อยู่ตรงกลางแผ่นกระดาษที่ถูกขีดเส้นใต้สองเส้นและกำกับด้วยดาวใหญ่ ๆ ทั้งสองด้าน คำ ๆ นั้นคือ Here and Now หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้
และแล้ว จามาลก็เล่าอย่างตื่นเต้นว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง เขาไปเที่ยวที่เวลส์ซึ่งมีภูเขามากมาย ไปคนเดียว วันที่เขาขีดเขียนสิ่งเหล่านี้คือวันที่เขามานั่งอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง จึงใช้เวลาคิดถึงเรื่องราวอันเป็นแก่นสารของชีวิต นั่นเป็นเทอมแรกที่จามาลมาเรียนกับดิฉันและชั่วโมงนั้นคงจะเป็นชั่วโมงที่ ๗ หรือ ๘ ของเทอมแล้ว คงจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ดิฉันพูดไปแล้วบ้าง
จามาลบอกว่า เขาคิดได้ถึงจุดที่เขาสรุปกับตัวเองว่า แก่นสารของชีวิตน่าจะอยู่ที่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เขาจึุงขีดเส้นใต้ กากบาทไว้ชัดเจนเช่นนั้น แต่เขาไม่สามารถคิดต่อได้ว่ามันคืออะไร อย่างไร จนกระทั่งดิฉันมาพูดเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในชั่วโมงนั้น เขาจึงตื่นเต้นมาก บอกว่าอกแทบจะระเบิด และกล่าวขอบคุณดิฉัน บอกว่า ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีใครที่สามารถให้คำตอบในเรื่องที่เขาต้องการได้ชัดเจนเช่นนี้ ดิฉันมีนักศึกษาชาวมุสลิมอยู่หลายคน แต่จามาลเป็นนักศึกษามุสลิมคนแรกที่เข้ามาคุยอย่างสนิทสนมนับจากวันนั้นเป็นต้นมา และได้เขียนเสียงสะท้อน feedback ให้แก่ดิฉันถึงสองครั้ง[5]
ดิฉันเล่าเรื่องของจามาลให้คุณรับรู้ เพราะต้องการให้คุณเห็นว่าแม้คนไม่ได้สนใจ พระพุทธศาสนาเลย ก็สามารถคิดถึงเรื่องสัจธรรมได้ เพราะนี่เป็นเรื่องสากล universal หากตั้งใจคิดให้ถี่ถ้วนและลึกซึ้งสักหน่อย อย่างทฤษฎีเอกภาพของไอน์สไตน์ก็คือการคิดเรื่องสัจธรรมนั่นเอง ความคิดของจามาลก็เช่นกัน เด็กหนุ่มคนนี้คิดได้ไกลและลึกซึ้งมากถึงขนาดรู้แล้วว่า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ได้ซ่อนคำตอบบางอย่างของชีวิตไว้ เพียงแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่านั้น คนที่คิดลึกและคิดอย่างรอบคอบถี่ถ้วนแล้ว จะมองออกได้ไม่ยากเลยว่า นอกจากที่นี่ เดี๋ยวนี้แล้ว ไม่มีอะไรจริงสักอย่างเดียว
สิ่งที่จริงที่สุด ที่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ คือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น ฉะนั้น ตัวสัจธรรม หรือ ตัวความจริงที่มันจริง ๆ ก็คือ ทุกอย่างที่เราเห็นได้ สัมผัสได้ในขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง ก็คือ รูป รส กลิ่น เสิียง สัมผัส ของที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์ นั่นเอง ไม่เชื่อ คุณก็ลองคิดตามดิฉันสิ
ไป ๆ มา ๆ การคิดที่ดิฉันเรียกว่าลึกซึ้งนั้นกลับมาอยู่ในสิ่งที่ไม่มีความลึกอะไรเลย สัจธรรมในฐานะที่เป็นผัสสะบริสุทธิ์ที่กำลังเกิดที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นความจริงที่ไม่มีความลึกซึ้งอะไรแม้แต่นิดเดียว เป็นเรื่องตื้นที่สุดจนไม่รู้จะตื้นอย่างไร ดังที่นักศึกษาหญิงของดิฉันคนหนึ่งเคยรำพึงออกมาอย่างไม่เชื่อว่า Is that it? เท่านั้นหรือ จึงกลายเป็นเรื่องยากที่สุด เพราะคนส่วนมากมองข้ามไปอย่างสนิท แต่ถึงแม้จะมองออกบ้างแล้วอย่างจามาล ถ้าไม่มีการอธิบายอย่างที่ดิฉันกำลังทำในบทนี้ และไม่นำเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านเข้ามาแล้ว ก็คงไม่พ้นเรื่องการคิดอย่างปรัชญา คือ มีแต่ความคิด แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้ได้อย่างไร
ต้องฝึกทักษะของการขับรถไฟ
ฉะนั้น คุณจะเห็นได้ว่า การเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดนั้นถูกตีวงแคบมาสู่เรื่องเดียวเท่านั้น คือ ทำอย่างไรเราจึงสามารถขับรถไฟชีวิตให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟขบวนพระเจ้าหรือพระนิพพาน จะทำได้ก็โดยการฝึกสติปัฏฐานหรือภาษาของดิฉันคือ การพาตัวใจกลับสู่บ้านทั้งสี่นั่นเอง ไม่ว่าผู้ฝึกกำลังพาตัวใจกลับมาสู่บ้านหลังใดหลังหนึ่งในสี่บ้านนี้ เมื่อนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะปลอดจากความคิด หรือ มีตัวใจที่ว่างจากจิตทันที ในช่วงขณะที่สั้น ๆ นั้นเอง รถไฟสองขบวนได้วิ่งขนานกันแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องทำคือ ฝึกทักษะของการพาตัวใจกลับบ้านบ่อย ๆ เมื่อทักษะของเราดีขึ้นแล้ว เวลาที่เราสามารถเดินเคียงข้างกับพระเจ้า พระนิพพาน หรือ สัจธรรมอันสูงสุด ย่อมยืดออกไป นานขึ้นเรื่อย ๆ ในลักษณะเช่นนี้ จนในที่สุด ทักษะของการขับรถไฟชีวิตขนานกับรถไฟขบวนสัจธรรมจะกลายเป็นธรรมชาติของเราเอง จะสามารถใช้ชีวิตของทุกลมหายใจได้อย่างรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นธรรมชาติของมันเอง เหมือนคนขับรถเก๋งเก่งแล้ว พอนั่งหลังพวงมาลัยก็ขับได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนคนฝึกพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เมื่อพูดได้เก่งแล้ว ก็พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนอีกแล้ว
ไอน์สไตน์ขาดเครื่องมือ
ความคิดของไอน์สไตน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดนิ่งของจักรวาล The absolute ruling point in nature หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่งที่เขาปลุกปล้ำอยู่ ๓๐ ปีนั้น ที่จริงแล้ว ลึกซึ้งมาก เขารู้ว่าต้องมีสิ่งหนึ่งที่สามารถให้คำตอบแก่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ ซึ่งที่จริงมีอยู่ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อายตนะนั้นมีอยู่” อายตนะ ในที่นี้ ท่านหมายถึงพระนิพพาน ถึงแม้สัจธรรมของทุกสิ่งมีอยู่ แต่ไอน์สไตน์ก็ค้นไม่พบเพราะขาดเครื่องมือคือ ครูบาอาจารย์ที่สามารถถ่ายทอดความรู้เรื่องวิปัสสนา หรือ สติปัฏฐานสี่ให้ น่าเสียดายที่ไอน์สไตน์ไม่ได้เกิดในเมืองพุทธ มิเช่นนั้น อัจฉริยะบุคคลผู้นี้อาจจะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกยุคใหม่ให้เป็นโลกที่ น่าอยู่มากกว่านี้ก็เป็นได้ ความเป็นอัจฉริยบุคคลของเขาบวกกับความรู้เรื่องสติปัฏฐานสี่ย่อมสามารถก่อ ให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในแง่ของการสร้างสรรค์อารยธรรมที่เอื้ออำนวยให้ มนุษย์หันเข้าหาสัจธรรมได้อย่างแท้จริง ดิฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่านี่?
สรุป
มาซง จากที่อธิบายมาโดยใช้ข้อเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนนี้แล้ว คุณคงจะเข้าใจได้ชัดเจนแล้วว่าทำไมคุณจึงรู้สึกเป็นสุขมากขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดเมื่อคุณสามารถพาตัวใจกลับบ้าน และมาอยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ เพราะในขณะนั้น คุณได้เข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดแล้ว ในฐานะที่คุณเป็นชาวคริสต์ ก็เท่ากับว่าคุณได้ย่างเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ได้กลับสู่สวนอีเดนของท่านแล้ว คุณจึงมีความสุขมาก เมื่อคุณกลับมาสู่ฐานของสติเช่นลมหายใจเท่านั้น ปัญหาในใจที่มากับความคิดจะหายไปเหมือนปลิดทิ้ง เจอรี่จะปล่อยทอมให้อยู่สบายหน่อย แต่ก็แน่นอนแหละ คุณอาจจะอยู่ในดินแดนของพระเจ้าไม่ได้นาน เพราะทักษะในการขับรถไฟชีวิตของคุณยังไม่เก่ง คือ คุณยังติดการคิด ยังปล่อยวางความคิดไม่ได้อย่างทันท่วงที จึงยังไม่สามารถขับรถไฟชีวิตให้ได้ระดับเดียวกับรถไฟพระเจ้าตลอดเวลา
ก็ไม่เป็นไรนะ ค่อย ๆ ฝึกไปนะคะ คุณโชคดีมากแล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาทั้ง ๆ ที่อยู่ประเทศคามารูน ในทวีปอาฟริกาแท้ ๆ คุณไอน์สไตน์ยังไม่โชคดีเท่าคุณนะ ชาวพุทธไทยจะมองคุณในลักษณะที่มีบุญบารมีมากเลยค่ะ คนมีบารมีในทางธรรม แม้อยู่ไกลเพียงใด ก็ยังหาครูบาอาจารย์พบจนได้ บางคนที่อยู่แสนจะใกล้ชิดครูบาอาจารย์แท้ ๆ แต่กลับไม่ไ่ด้ความรู้อะไรไปเลย น่าเสียดายมาก เรื่องของบุญบารมีนี่ ไม่เข้าใครออกใคร ของใครก็ของเขาจริง ๆ เอานะคะ ฝึกไปเรื่อย ๆ แล้วคุณจะเก่งขึ้นเอง อีกหน่อยก็จะสามารถอยู่ในดินแดนของพระเจ้าได้นานขึ้น
มา ซง เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองของปีใหม่ ดิฉันจึงขอถือโอกาสมอบจดหมายฉบับนี้เป็นของขวัญวันปีใหม่ให้คุณและลูกศิษย์ ของดิฉันทุกคนที่อาศัยอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยที่ดิฉันจะส่งเป็นอีเมล์ให้พวกเขาได้อ่านกันเหมือนกับจดหมายฉบับก่อน ๆ ที่ดิฉันเขียนให้ลูกศิษย์คนอื่น แต่คุณก็ยังได้อ่านเช่นกัน นี่ก็เป็นวิธีการของดิฉันที่พยายามจะช่วยกอบกู้วัฒนธรรมสติปัฏฐานให้กลับมา สู่สังคมโลกอีก อาจเป็นเรื่องเพ้อฝันก็จริงอยู่ แต่ที่จริงแล้ว หากคุณเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่พาตัวใจกลับบ้านได้ ดิฉันก็ำพอใจแล้วค่ะ
ขออวยพรให้คุณมีความสามารถขับขี่รถไฟของชีวิตได้เก่ง ๆ นะคะ ขอให้มีความอดทนต่อสถานการณ์ทุกอย่างของชีวิต อย่าท้อถอย และก้มหน้าก้มตาฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านเสมอ ชีวิตของคุณจะเป็นสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ตกต่ำอีกแล้วค่ะ
ด้วยความเมตตา
ศุภวรรณ
[1] หลังจากที่คิดเรื่องนี้ออกครั้งแรกในช่วงเวลานั้นแล้ว ดิฉันก็ได้พยายามพัฒนาความคิดนี้มาโดยตลอดเพื่อทำให้มันชัดเจนมากขึ้นเสมอ การมาเขียนบทนี้เป็นภาษาไทยโดยคิดว่าจะแปลจากฉบับภาษาอังกฤษนั้น ดิฉันก็พบว่า ความคิดของดิฉันได้เปลี่ยนไปอีก สามารถพูดให้ชัดเจนและรัดกุมมากขึ้น การอธิบายเรื่องรถไฟสองขบวนเพื่อให้คนเข้าถึงพระนิพพานจึงมีรายละเอียดมากกว่าภาษาอังกฤษฉบับดั้งเดิม คุณสามารถอ่านการอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ในหนังสืออวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน หน้า ๔๓๖-๔๓๘
[2] ความคิดเรื่องเวลา และการเคลื่อนไปอย่างคงที่ สม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ที่จริงแล้ว เป็นความคิดของ ไอแซค นิวตัน เอกภพในสำนักนิวตันนั้นเห็นว่า เวลาเคลื่อนไหลไปในอัตราคงที่ ไม่ผันแปร และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกาล ซึ่งเข้าใจได้ง่ายกว่าการมองเอกภพและเวลาของไอน์สไตน์ที่เห็นอวกาศและเวลายืดหดได้ หลักการเรื่องเวลาของนิวตันจึงเป็นสิ่งที่ดิฉันพูดถึงในบทนี้ ส่วนเรื่องจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเวลาเป็นคำถามประเภทอจินไตย ไม่จำเป็นต้องรู้
[3] อ่านบทที่สาม เรื่อง พระนิพพานอยู่ที่ไหน และ บทที่สี่ เรื่อง สัจธรรมอันสูงสุดอยู่ที่ไหน ในหนังสือเรื่อง ใบไม้กำมือเดียว เขียนโดย ศุภวรรณ กรีน
[4] ในบทที่สองของหนังสือเล่มนี้ ดิฉันเคยบอกคุณ แล้วว่า ความจำ หรือ สัญญาขันธ์ คือ ความคิดทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตทั้งสิ้น
[5] คุณสามารถอ่านเสียงสะท้อนของจามาลจากเว็บไซต์ของดิฉันภายใต้ Feedback from Supawan’s students
No comments:
Post a Comment