บทที่สาม
จิตใจปกติเป็นอย่างไร?
Do you know what a normal mind is?
นั่งรถกับคนเป็นโรคจิต
วันหนึ่ง ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากชายหนุ่มอายุ ๒๗ ปีคนหนึ่ง ซึ่งเคยมาเรียนไท้เก็กกับดิฉันประมาณ ๓ ปีก่อนหน้านั้น เขามาเพียง ๓ หรือ ๔ ครั้ง แล้วก็หายหน้าไป วันนั้น เขาโทรมาเพื่อขอหนังสือเรื่อง ใบไม้กำมือเดียว จากดิฉัน ดิฉันจึงพูดกับเขาว่า หากมีเวลา ควรมาเรียนไท้เก็กกับดิฉันอีก แล้วดิฉันจะได้สอนเรื่องการฝึกสติปัฏฐานให้ เพื่อเขาจะสามารถเข้าใจหนังสือของดิฉันได้ดีขึ้น
พอดีชายหนุ่มคนนี้อยู่ใกล้บ้าน ดิฉันจึงรับอาสาที่จะรับไปมหาวิทยาลัยในรถของดิฉันด้วย เมื่อชวนคุย ดิฉันจึงทราบว่า เขาเพิ่งฟื้นตัวจากโรคจิตเภทชนิดหนึ่ง ยังอยู่ในการดูแลของคุณหมอโรคจิต รักษาด้วยยาและทำจิตบำบัดอยู่ บอกว่า สาเหตุที่เขาต้องการหนังสือของดิฉันเพราะดิฉันได้พูดเรื่องการทำใจให้ว่างจากความคิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจของเขาตั้งแต่แรก
ดิฉันไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว ถึงแม้รู้ว่ากำลังนั่งรถไปกับคนที่จิตใจไม่ค่อยปกติก็ตาม รู้สึกสงสาร จึงพยายามให้เขาพูดถึงปัญหาส่วนตัวที่ทำให้จิตใจของเขาไม่ปกติ ซึ่งดิฉันสรุปได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ได้สูบกัญชาในช่วงที่เขามาเรียนไท้เก็กกับดิฉัน ในใจของเขาจึงสร้างเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมาซึ่งเขาคิดว่าจริงไปหมด หลังจากที่ได้อ่านหนังสือของดิฉันครั้งแรกซึ่งดิฉันได้พูดเรื่อง ใจว่างจากจิต void และเรื่องการตรัสรู้ enlightenment นั้น เขาเชื่อว่าเขาได้บรรลุธรรมและตรัสรู้แล้ว ดิฉันเดาว่า คุณแม่ของเขาคงได้ทำลายหนังสือเล่มนั้นไปแล้วเมื่อลูกชายมีความเจ็บป่วยทางใจ จึงเป็นสาเหตุที่ชายหนุ่มคนนี้ต้องการได้หนังสือของดิฉันไปอีกเล่มหนึ่ง แต่ดิฉันก็ตัดสินใจไม่ให้หนังสือของดิฉันแก่ชายหนุ่มคนนี้ เพราะคิดว่าจะไปทำให้จิตใจของเขาสับสนมากกว่าที่เป็นอยู่ ควรให้คุณหมอโรคจิตรักษาจนกว่าจิตใจของเขาจะเป็นปกติเสียก่อนดีกว่า แต่นี่แหละคือตัวปัญหาที่แท้จริง มีใครรู้จริง ๆ หรือไม่ว่า “จิตใจที่ปกติจริง ๆ” นั้นเป็นอย่างไร
โรคจิตไม่มีแผล
โรคจิตเป็นโรคที่ซับซ้อน ยากที่จะรักษา เพราะไม่มีแผลให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนโรคกายซึ่งเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ใครไม่สบายกายก็ไปหาคุณหมอ ท่านสำรวจโรคและให้ยามารับประทานเพื่อแก้โรคนั้น ๆ แต่แผลใจไม่มีรอยช้ำ อักเสบ ขูด ข่วน เป็นหนอง หรือ แตกหักให้เห็นอย่างชัดเจน ความเจ็บป่วยทางจิตใจเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ ความคิด ความจำ ความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างทั้งสิ้น แล้วเราจะรู้หรือตัดสินได้อย่างไรว่า ความเจ็บป่วยของจิตใจเป็นอย่างไร
ความรู้ทางการแพทย์เชื่อว่า จิตใจอยู่ที่สมอง ฉะนั้น การรักษาโรคทางจิตใจ คือ การไปรักษาที่สมอง ฉะนั้น เรามาดูกันก่อนว่า ผู้เชี่ยวชาญทางจิตใจ mind expert ได้ถกเถียงเรื่อง จิตใจ ว่าอย่างไร ดิฉันอ่านบทความนี้จากผู้วิจารณ์หนังสือ ชื่อ A.C. Grayling วิจารณ์หนังสือชื่อ Consciousness ซึ่งแปลว่า ความรู้สึกตัว เขียนโดย Rita Carter ซึ่งพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Daily Mail วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๐๐๒ เขาพูดว่า
โดยประเพณีแล้ว ปัญหาของจิตใจ mind และความรู้สึกตัว consciousness อยู่ในเครือข่ายของปรัชญา แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นักประสาทวิทยา neurologists นักจิตวิทยา psychologists และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยร่วมมือกับนักปรัชญา ได้นำเสนอทฤษฎีและวิธีการใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องความรู้สึกตัวของมนุษย์ซึ่งล้วนมีพลังมาก แต่ถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกิจกรรมบางส่วนของ สมองแล้ว เช่น ส่วนที่เกี่ยวกับการเห็น การได้ยิน การใช้ภาษา การเคลื่อนไหว และ สิ่งอื่น ๆ มันก็ยังมีความลึกลับ และ ความคลุมเครืออยู่อีกมากมายทีเดียว บางคนก็บอกว่า ความรู้สึกตัว consciousness เป็นองค์กรที่อิสระ จากสมองและวัตถุอย่างอื่น บางคนก็บอกว่า หัวสมองและจิตใจเป็นเรื่องเดียวกัน บางคนก็บอกว่าสมองเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจิตใจ บางคนก็บอกว่า ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นผลของกิจกรรมของสมอง บางคนก็พูดว่า เราไม่มีวันเข้าใจได้ว่าความรู้สึกตัวจะเกิดจากสมองได้อย่างไร และ ยังมีคนที่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่ามีสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกตัว consciousness นั้นไม่มี
คุณเห็นได้ว่า บทสรุปสั้น ๆ ของคุณ A.C Graying ก็สามารถช่วยให้เราเห็นภาพรวมของความคิดของผู้เชี่ยวชาญเรื่องสมองและจิตใจของมนุษย์ เมื่อพิจารณาจากการถกเถียงของผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตใจเหล่านั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่า พวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าใจเรื่องจิตใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ว่ามันคืออะไรอย่างแน่นอน ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะหากผู้ชำนาญทางจิตใจ mind experts ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าจิตใจคืออะไร และทำงานอย่างไรแล้ว เขาจะรักษาคนไข้ที่เป็นโรคจิตให้กลับคืนสู่ความปกติได้อย่างไร และที่รักษากันอยู่นี้ เขารักษากันอย่างไร และตัดสินได้อย่างไรว่า จิตใจของคนไข้นี้หายเป็นปกติแล้วซึ่งต่างจาก คนที่จิตใจยังไม่หายเป็็นปกติอย่างไร เขาเอามาตรฐานอะไรมาวัดและตัดสินความปกติที่แตกต่างจากความผิดปกติ
เราจึงจำเป็นต้องเจาะลึกเข้าไปสู่เรื่องของจิตใจ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องความเป็นปกติของจิตใจ ว่ามันคืออะไรกันแน่ และมนุษย์เราจะเข้าถึงความเป็นปกตินั้นได้อย่างไร
แก่นของชีวิต
หากต้องการเข้าใจความปกติของจิตใจ ก็ต้องมาเริ่มทำความรู้จักกับธรรมชาติส่วนนี้ก่อน เราต้องยอมรับว่า ความคิด thoughts ความจำ memories ความรู้สึก feelings และ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม consciousness มีอยู่อย่างแน่นอน ถึงแม้สิ่งเหล่านี้ไม่มีรูปร่างก็ตาม มันก็มีอยู่ และเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดแนบเนื่องกับชีวิตของเรามากที่สุด แทบจะรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้คือ ตัวจริง ๆ ของเรามากกว่ากายเนื้อด้วยซ้ำไป ที่สำคัญมากกว่านั้น คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่างเหล่านี้ล้วนเป็นธาตุหรือธรรมชาติพื้นฐานที่ก่อให้เกิด “ชีิวิต” life และทำให้ “เรามีวิถีชีวิต” ก่อให้มีการเรียนรู้ การหาประสบการณ์จากโลกภายนอกตลอดจนจักรวาลที่เราอยู่
เมื่อคุณแม่ให้กำเนิดทารก ทารกนั้นก็คือ ก้อนเนื้อที่ห่อหุ้มความรู้สึกตัวทั่วพร้อม consciousness ซึ่งเป็นแก่นของชีวิต เพราะถ้าหากไม่มีก้อนความรู้สึกตัวนั้นแล้ว ถึงแม้ร่างกายของทารกจะสมบูรณ์ มีอวัยวะทุกอย่างครบถ้วนก็ตาม แต่เมื่อแก่นของชีวิตหรือความรู้สึกตัวไม่มีแล้ว ทารกนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร เป็นเพียงก้อนเนื้อที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ความแตกต่างระหว่างทารกที่คลอดออกมาแล้วรอดและตาย คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั่นเอง เด็กที่มีชีวิตสามารถร้องไห้ ดิ้น และเคลื่อนไหวไปมา ในขณะที่เด็กตายนั้นจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ร้องไห้ ไม่ดิ้น ไม่มีอาการของ “ชีวิต” แต่อย่างใดเลย
เมื่อคนเราหลับสนิท หมดสติเองโดยไม่ได้ใช้ยารวมทั้งผลของฤทธิ์ยาสลบด้วย คนไข้ที่อยู่ในอาการโคม่า และคนตาย ในขณะนั้น ร่างกายของคนเหล่านี้ก็ยังเป็นปกติทุกอย่าง แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม consciousness ของพวกเขา มันล้วนหยุดทำงานไประยะหนึ่งในสามกรณีแรกทั้ง ๆ ที่หัวใจก็ยังเต้นอยู่ เว้นเสียแต่ในกรณีของคนตายที่ความรู้สึกตัวไม่กลับมาอีกเลย
ความรู้สึกตัว ชีวิต และ จักรวาล
เมื่อเหตุการณ์ทั้งสี่กรณีนั้นเกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้ว คือ หลับสนิท หมดสติ โคม่า ตาย จักรวาลทั้งหมดก็ดับวูบลงทันทีสำหรับคนคนนั้น ถึงแม้จักรวาลยังคงอยู่กับคนอื่น ๆ อย่างเป็นปกติก็ตาม จักรวาลนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนที่ “ไม่มีความรู้สึกตัว” ขอให้คิดตามให้ดีอย่างถ่องแท้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะช่วยให้คุณเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถึงแก่นด้วย
หากคุณเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูดแล้ว เราลองมาใช้เหตุผลและตรรกะเชื่อมโยงข้อเท็จจริงบางอย่างดู นี่ย่อมหมายความว่า ชีิวิต ความรู้สึกตัว กับ จักรวาล เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ใกล้ชิด ถึงกับเป็นเรื่องเดียวกันก็ว่าได้ มันจึงมีค่าและความสำคัญที่เท่าเทียมกัน ย่อมหมายความว่า หากเราสามารถรู้จัก “ความรู้สึกตัว” ของคนเราได้แล้ว เราย่อมเข้าใจชีวิตและจักรวาล ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่สามารถเข้าใจ “ความรู้สึกตัว” ละก็ เราจะไม่เข้าใจชีวิตและจักรวาลเช่นกัน จริงหรือไม่ ฉะนั้น หากเขียนเป็นรูปสมการให้เห็นง่าย ๆ ก็จะเป็นดังนี้คือ
ความรู้สึกตัว = ชีวิต = จักรวาล
Consciousness = life = universe
เพราะมีความรู้สึกตัวนี่เอง จึงก่อให้มี ความคิด ความจำ กับ ความรู้สึก อันเป็นธรรมชาติที่ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “จิตใจ mind” ขึ้นมา และจากจิตใจนี้เองจึงมี “ทุกอย่าง” ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตภายนอกของเรา เช่น การกิน การอยู่ ทำมาหาเลี้ยงชีพ พบปะผู้คน ตลอดจนถึงการสร้างสรรค์และทำลาย จิตใจของมนุษย์ยังเป็นสถานที่ที่เกิดความสุข ดีใจ ตื่นเต้น เสียใจ เจ็บปวด ทรมาน ตลอดจนความทุกข์ทั้งหลาย ล้วนมีอิทธิพลต่อโลก เช่้น หากชาวโลกส่วนมากมีจิตใจที่เป็นสุขแล้ว สังคมโลกก็จะมีสันติภาพ หากชาวโลกส่วนมากมีทุกข์ในใจละก็ สังคมโลกก็จะวุ่นวายมีสงครามอยู่ทุกหย่อมหญ้า
สาเหตุของบทความนี้ก็เนื่องมาจาก ความเจ็บไข้ได้ป่วยทางจิตใจของคน ๆ หนึ่งที่ดิฉันรู้จัก ดิฉันจึงอยากให้คุณเห็นอย่างชัดเจนว่า ความเข้าใจเรื่องจิตใจอย่างถ่องแท้มีความสำคัญมากเพียงใด ไม่เพียงแต่ต่อปัจเจกชนคนหนึ่ง ๆ ที่มีปัญหาทางจิตใจเท่านั้น แต่เรื่องจิตใจนี้ เป็นเรื่องที่ครอบคลุมถึงโลกและจักรวาลทั้งหมดเลยทีเดียว ฉะนั้น หากเราไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของจิตใจอันมีความรู้สึกตัวเป็นแก่นของชีวิตแล้วละก็ เราจะไม่มีวันเข้าใจชีวิต โลก และ จักรวาลที่เราอยู่นี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะไม่สามารถเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดในสังคมโลก เมื่อไม่เข้าใจปัญหาสังคม เราก็แก้ไขมันไม่ได้ ปัญหาสังคมเหล่านี้จึงกลับมาสร้างปัญหาให้กับจิตใจของปัจเจกบุคคลต่อไป และแล้ว ปัญหาของมนุษย์ก็เริ่มวนไปเวียนมาเหมือนกำลังเดินอยู่รอบถนนวงแหวนฉันใดก็ฉันนั้น คุณเห็นหรือยังว่า การไม่เข้าใจเรื่อง จิตใจ และ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อย่างถ่องแท้มีความเสียหายมากมายเพียงใดต่อมนุษยชาติ
จิตใจที่ไม่ทุกข์คือจิตใจที่เป็นปกติ
บุคคลที่รู้เรื่องจิตใจมากที่สุดคงไม่เกินพระพุทธเจ้า ความรู้ของพระพุทธเจ้าคือ การดับทุกข์ทางใจ จึงควรมาเริ่มต้นที่ความรู้ของผู้รู้จริงเสียก่อน
หากดิฉันจะพูดว่าผู้เป็นโรคจิต คือ คนที่มีจิตใจไม่ปกติ จิตใจจึงเป็นทุกข์ จิตใจที่ยังเข้าไม่ถึงพระนิพพาน ฉะนั้น การทำให้จิตใจหมดทุกข์คือ การทำให้จิตใจเป็นปกติ ความป่วยทางจิตใจก็จะหายไป จึงได้สมการเช่นนี้ก่อน
จิตใจเจ็บป่วย (โรคจิต) = จิตใจไม่ปกติ = จิตใจเป็นทุกข์ = กลุ้มใจ
จิตใจไม่เจ็บป่วย = จิตใจปกติ = จิตใจหมดทุกข์ = หายกลุ้มใจ
ทำไมไอน์สไตน์จึงต้องหาจุดปกติของจักรวาล
เมื่อใช้คำว่า ปกติ ปัญหาเริ่มเกิด เพราะจิตใจเป็นเรื่องของนามที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ เห็นไม่ได้ จึงไม่มีแผลอักเสบให้เห็น แล้วใครล่ะ จะเป็นคนตัดสินได้ว่า จิตใจของใคร “ปกติ” หรือ “ไม่ปกติ” จะรู้ได้อย่างไร
ตรงนี้แหละ คุณจะเริ่มเข้าใจความคิดของไอน์สไตน์แล้วหรือยังว่าทำไมเขาจึงต้องการหาจุดคงที่ของจักรวาล the absolute ruling point in nature ถ้าใช้คำพูดใหม่ ก็หมายความว่า ไอน์สไตน์ต้องการหาจุดปกติของจักรวาลนั่นเอง เพื่อเขาจะได้ใช้จุดนั้นเป็นเกณฑ์หรือมาตรฐานวัดสิ่งอื่น ๆ ได้ จึงสามารถรู้ได้ว่า อะไรที่มันเคลื่อนจากความปกตินั้นหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีจุดปกติที่ใช้เป็นมาตรฐานการวัดสิ่งต่าง ๆ แล้ว เราจะไม่มีวันรู้ได้ว่า อะไรปกติ และ อะไรไม่ปกติ ความคิดของไอน์สไตน์ในเรื่องนี้จึงรวมถึงการวัดความปกติของจิตใจมนุษย์ด้วย
ไอน์สไตน์หาจุดคงที่หรือจุดปกติของจักรวาลไม่พบ เพราะเขาค้นพบว่าทุกอย่างในจักรวาลเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดนิ่งและเป็นปกติเลย แถมค้นพบอีกว่า เวลาและเอกภพยืดหดได้ด้วย ไอน์สไตน์จึงสรุปว่าไม่มีจุดนิ่งหรือจุดปกติในจักรวาล อันเป็นผลให้เกิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ ซึ่งหมายถึงการต้องสมมุติจุดนิ่งหรือจุดปกติขึ้นมาเอง และใช้จุดสมมุตินั้นเป็นมาตรฐานการวัดสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแน่นอน ค่าที่ได้ย่อมเป็นค่าที่ไม่ปกติ ไม่นิ่ง เป็นค่าเปรียบเทียบซึ่งภาษาของไอน์สไตน์เรียกว่า ค่้าสัมพัทธ์ relative value นั่นเอง
หากคุณต้องการเข้าใจเรื่องความปกติของจิตใจอย่างถึงแก่นแล้ว คุณต้องยอมรับเสียก่อนว่า ไอน์สไตน์สรุปผิด เพราะจุดนิ่งหรือจุดปกติในจักรวาลมีอยู่ ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกแล้วว่า คือ สภาวะพระนิพพาน นั่นเอง
ต้องฟังผู้รู้
ตรงนี้แหละ คุณไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรับฟังผู้ตรัสรู้เองได้อย่างพระพุทธเจ้า ท่านจึงรู้ว่า จุดนิ่งหรือจุดที่เป็นปกติของจักรวาลมีอยู่ แต่มีอยู่ในลักษณะของรถไฟสองขบวนที่วิ่งด้วยความเร็วในระดับเดียวกัน ดังที่ดิฉันจะอธิบายในบทที่ ๖ เมื่อรถไฟสองขบวนวิ่งขนานได้เมื่อไร ความนิ่ง หรือ ความปกติ จะเกิดทันทีซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับ การรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ สภาวะนั้นเกิดได้เมื่อใจของเราว่างจาก จิต หรือใจที่ไม่มี ความคิด ความจำ ความรู้สึก นั่นเอง
ต้องแยกจิตออกจากใจ
คุณจะเห็นได้ว่า ความสับสนในความรู้เรื่องจิตใจของมนุษย์ในหมู่ปัญญาชนทั้งตะวันออกและตะวันตกเกิดเพราะไม่สามารถเข้าใจเรื่องขันธ์ ๕ ของพระพุทธเ้จ้าที่ดิฉันได้อธิบายไว้แล้วในบทที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนประกอบในส่วนนามขันธ์ทั้งสี่ คือ
1. ความคิด (สังขาร) = จิต
2. ความจำ (สัญญา) = จิต
3. ความรู้สึก (เวทนา) = จิต
4. ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (วิญญาณ) = ใจ, ตัวใจ, ตาใจ
ซึ่งมีทั้งส่วนของอายตนะภายนอกกับภายใน ผู้ดูกับสิ่งที่ถูกดู ประธานกับกรรม จิตกับใจ sense กับ sense objects หรือ ทอมกับเจอรี่ การใช้ภาษาของพวกเขาจึงไม่ชัดเจน เต็มไปด้วยความคลุมเครือ
เพราะนักการศึกษาของโลกยังไม่รู้ว่า สิ่งที่เขาเรียกว่า ความรู้สึกตัว consciousness อันเป็นเรื่องลึกลับที่เขาถกเถียงกันมานับศตวรรษแล้วนั้น ที่จริงคือ อายตนะที่ ๖ หรือ (ตา)ใจ ซึ่งเปรียบเหมือนอวัยวะฝ่ายนามที่ทำงานรับสัมผัส เหมือนตา หู จมูก ลิ้น กาย จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้งานมันทันที ในแง่ที่เอามันมาดู มารับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จิตหรือเจอรี่ได้สร้างขึ้นมาในหัวในใจของเรา ดิฉันจึงมักเรียก ใจ ว่า ตาใจ เพื่อให้คุณเห็นชัดเจนว่ามันต้องถูกใช้เป็นตัวดูเหตุการณ์ภายในใจของเรา ดังสมการนี้
ตาใจ ดู-----à จิต, เจอรี่ (ความคิด ความจำ ความรู้สึก)
เมื่อใช้ตาใจไม่เป็น เหมือนเอาผ้ามาปิดตา
เมื่อปัญญาชนชาวตะวันตกไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา และไม่ได้ฝึกสติปัฏฐานสี่ หรือ ฝึกการพาตัวใจกลับบ้านแล้ว จึงใช้ตาใจไม่เป็น ไม่รู้จักอายตนะที่ ๖ เครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้เรื่องการทำใจให้เป็นปกติ หรือ พระนิพพาน
การใช้ตาใจเป็นคือ ใช้มันดูความคิด หรือ ดูจิต (ทอมเฝ้าดูเจอรี่) ซึ่งเป็นขั้นตอนของการฝึกวิปัสสนา แต่เมื่อใช้ตาใจไ่ม่เป็นแล้ว ก็เหมือนเอาผ้ามาปิดตาใจไว้ ตาใจจึงมืดบอด แมวทอมที่ตาบอดจึงกลายเป็นแมวที่หมดน้ำยาไปทันที กลายเป็นเหยื่อของเจอรี่ แทนที่จะเป็นนายมัน และนี่คือสิ่งที่เกิดกับปัญญาชนทั่วโลกที่ไม่ยอมรับรู้เรื่องอายตนะที่ ๖ ของพระพุทธเจ้า
เรียนรู้ “ตาใจ” อย่างเป็นวิชาการไม่ได้
ฉะนั้น วิธีการถกเถียงเรื่อง จิตใจ mind และ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม consciousness ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญทางจิตใจของปัญญาชนชาวตะวันตกที่ยกขึ้นมาให้อ่านเมื่อสักครู่นั้น จึงเป็นวิธีการเรียนรู้เรื่องจิตใจอย่างผิด ๆ มักเอาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของสมองที่เป็นก้อนเนื้ออันเป็นส่วนหนึ่งของกาย ซึ่งศึกษาได้ง่ายกว่า และดิฉันก็ยอมรับว่าสมองมีส่วนเกี่ยวข้องกับจิตใจจริง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะการวิเคราะห์เรื่องขันธ์ ๕ ของพระพุทธเจ้าบอกว่า จิตใจ มีการทำงานอย่างเป็นองค์กรอิสระและเป็นส่วนที่สร้างเงื่อนไขให้ส่วนกายดังที่ดิฉันได้อธิบายแล้วในบทที่สอง
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม วิญญาณขันธ์ หรือ ตาใจ นี้จะเป็นหัวข้อของการถกเถียงอย่างเป็นวิชาการไม่ได้เด็ดขาด การทำเช่นนี้เหมือนการพยายามมองให้เห็นตาของตนเองซึ่งเป็นไปไม่ได้ หากโลกนี้ไม่มีกระจกหรือน้ำที่นิ่งสงบ จะไม่มีใครเคยเห็นตาเนื้อของตนเองเลย เพราะกำลังใช้มันอยู่ การถกเถียงเรื่องตาใจ ตัวใจ อย่างเป็นวิชาการจึงเหมือนการพยายามมองให้เห็นตาใจ ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร แม้ตาเนื้อเรายังมองไม่เห็น ตาใจเป็นนามยิ่งไม่มีอะไรให้มองเห็นและเราก็ใช้มันอยู่ ถ้าจะให้รู้จักตาใจจริง ๆ แล้ว จำเป็นต้องใช้งานมันทันที คือ ใช้มันดูความคิด ความรู้สึก โดยวิธีการฝึกสติปัฎฐานหรือพาตัวใจกลับบ้าน ทำเช่นนี้เท่านั้น คือ การทำความรู้จักตาใจของตัวใจแล้ว ตรงนี้จำเป็นต้องฟังผู้รู้
ทุกปัญหามากับความคิด
การฝึกวิปัสสนาหรือพาตัวใจกลับบ้าน ก็คือ การฝึกใช้ตาใจเพื่อให้มันดูการทำงานของจิตหรือความคิด พอเริ่มดูความคิดไปสักหน่อย ผู้ฝึกจะมองออกว่า ความคิดและความรู้สึก (จิต) ของคนเรานี่เองที่เป็นตัวสร้างความเจ็บป่วยทางจิตใจ ตัวจิตนี่เองที่เป็นส่วนผิดปกติเพราะไปติดอยู่กับความเป็นมายาของความคิด คนที่ฝึกวิปัสสนาจึงฉลาดขึ้น
ถ้า จิต หรือ ความคิดเป็นส่วนที่ผิดปกติแล้ว การจะทำให้จิตใจเราเป็นปกติ ก็ต้องเอาตัวที่เจ็บไข้ได้ป่วยออกไป นั่นคือ ต้องเอา จิตที่ผิดปกติ ออกจาก ตัวใจ เพื่อว่า ตัวใจของเราจะได้เป็นปกติ
วิธีการของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ความเจ็บไข้ได้ป่วยทางใจอยู่ที่ไหน ก็คว้านมันออกไปตรงนั้นเลย การฝึกวิปัสสนาจึงเป็นขบวนการแยกจิตออกจากใจ แยกทอมออกจากเจอรี่ แยกผู้ดูออกจากสิ่งที่ถูกดู หรือ เอาความคิด ความจำ ความรู้สึกออกจากตัวใจของเรา เมื่อเอาความผิดปกติออกได้แล้ว ตัวใจก็จะเป็นปกติ ตัวใจที่ปกติจึงเป็นสภาวะที่ “ตัวใจว่างจากจิต” ความเจ็บป่วยทางจิตใจ (โรคจิต) ของมนุษย์จึงรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับการหายกลุ้มใจ หมดทุกข์ หรือ การเข้าถึงพระนิพพาน
ความคิด ความจำ ความรู้สึก = จิต = เจอรี่
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม = ตัวใจ, ตาใจ = ทอม
เมื่อไม่ได้ฝึกสติปัฏฐานสี่ เอาจิตที่ผิดปกติออกจากตัวใจไม่ได้ ตัวใจจึงไม่ปกติ
ตัวใจจิต---à ตัวกาย---à ผัสสะไม่บริสุทธิ์ =ตัวใจไม่ปกติ = เป็นทุกข์ =ไม่ถึงนิพพาน
เมื่อฝึกสติปัฏฐานสี่ เอาจิตที่ผิดปกติออกจากตัวใจได้แล้ว ตัวใจก็จะเป็นปกติ ไม่ทุกข์
ตัวใจ---à ตัวกาย---à ผัสสะบริสุทธิ์ =ตัวใจปกติ=ไม่ทุกข์=ถึงนิพพาน
จากสมการข้างบน คุณจะเห็นได้ชัดว่า ความคิด ความจำ ความรู้สึก ซึ่ง ดิฉันเรียกรวมว่า จิต หรือ เจอรี่ เป็นตัวที่สร้างปัญหาให้แก่มนุษย์มาตลอด เพราะความเป็นมายาของมัน นี่เป็นศัตรูที่แท้จริงตัวเดียวของมนุษยชาติ จัดการกับเรื่องนี้ได้เท่านั้น จิตใจของคนก็จะเป็นปกติ ความปกติสุขก็จะกลับมาสู่สังคมโลก
ฉะนั้น เรื่องจิตใจของมนุษย์จะนำไปวิเคราะห์แบบวิธีการทางโลกโดยการถกเถียงอภิปรายย่อมไม่ได้ ถ้าทำเช่้นนั้น จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องจิตใจได้เลย นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่นักการศึกษาฝ่ายโลกจำเป็นต้องรับฟังผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า การฝึกวิปัสสนาหรือฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านเท่านั้นจะเป็นทางลัดที่ช่วยให้เข้าใจเรื่องจิตใจได้อย่างถ่องแท้ ช่วยให้เข้าถึงความเป็นปกติของใจได้ เป็นเรื่องเดียวกับการเข้าถึงพระนิพพานนั่นเอง
สมมุติให้ความไม่ปกติเป็นความปกติ
หากไม่มีใครบอกคุณว่า พระนิพพานหรือ ผัสสะบริสุทธิ์ คือความปกติที่แท้จริงของใจแล้ว ย่อมไม่มีมาตรฐานการวัดที่แน่นอน เด็ดขาด ฉะนั้น จึงต้องมีการสมมุติระดับความปกติขึ้นมาแทน ตรงนี้เอง คุณจะเห็นความซับซ้อนที่น่าใจหายของสังคมโลกอันเนื่องจากไม่รู้ว่าความปกติที่แท้จริงคืออะไร เป็นอย่างไร
ขอให้คุณหาหนังยางมาเส้นหนึ่ง ดึงให้ตึงโดยตรึงมันอยู่กับนิ้วหัวแม่มือหรือนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้าง และเราเปรียบเทียบเส้นขนานของหนังยางที่ไม่มีการบิดเลยนี้เป็นระดับความปกติของใจเรา คือ ในขณะที่ตาใจของเราสามารถรับผัสสะบริสุทธิ์โดยไม่มี จิต หรือ ความคิดเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้น ใจของเราจะเหมือนเส้นยางตรง ๆ ที่ไม่มีการบิด หรือ เราสามารถสมมุติให้หนังยางที่ขนานกันทั้งสองเส้นนี้ เหมือนกับ รถไฟสองขบวนที่วิ่งในระดับเดียวกัน (บทที่ ๖) หรือจะมองให้เป็น สภาวะที่ใจได้แยกหรือหลุดร่อนออกจากจิตหรือความคิดแล้วก็ได้ ซึ่งเป็นสภาวะของผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว
ที่นี้ ขอให้คุณบิดเส้นยางนั้น ๔ ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของจิตใจ ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตกับใจอยู่ติดพันกัน หรือเจอรี่กำลังขี่คอรังแกทอมอยู่ แล้วขอให้ดึงหนังยางที่บิด ๔ ครั้งให้ตึงเป็นเส้นตรงอีก ดูรูปข้างล่าง
วาดภาพของนิ้วที่ตรึงเส้นหนังยางที่บิด ๔ ครั้ง และตรึงให้เป็นเส้นตรง
ความเป็นเส้นตรงของหนังยางที่บิดอยู่นี้จึงเปรียบเทียบได้กับการสมมุติค่าของความเป็นปกติขึ้นมาจากความไม่ปกตินั่นเอง ค่าสมมุติว่าปกตินั้นจึงเป็นค่าสัมพัทธ์ ค่าเปรียบเทียบ ค่าไม่จริง ค่าไม่ปกติ
คุณเห็นหรือยังว่า ความสลับซับซ้อนเริ่มเกิดแล้ว ณ.จุดนี้เอง คนที่ไม่ได้ฝึกวิปัสสนา จิตกับใจของเขาจะอยู่แนบชิดติดกัน ดูดเข้าหากันเหมือนเป็นแม่เหล็กต่างขั้ว พัวพันกัน ซึ่งเป็นความไม่ปกติของใจ แต่เมื่อไม่มีใครบอก และเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ คนก็หลงเข้าใจผิดเอาความผิดปกตินั้นเป็นความปกติ การไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องความไม่ปกติของจิตใจ ภาษาธรรมะเรียกว่า มีอวิชชา
เมื่อคนกลุ่มใหญ่ผิดปกติเหมือนกันหมด จึงกลายเป็นเรื่องปกติ
การ บิดเส้นหนังยาง ๔ ครั้งนั้นเปรียบเทียบได้กับสภาวะจิตใจของปุถุชนส่วนใหญ่ของโลกที่ยังไม่ได้ รู้เรื่องพระนิพพานอันเป็นเป้าหมายปลายทางของชีวิตและไม่ได้ฝึกสติปัฏฐานสี่ แต่อย่างใด จึงมีอวิชชาเสมอเหมือนกันหมด
นี่คือกลุ่มคนทั่วไปที่ตื่นนอนทุกเช้าแล้วสามารถดำเนินชีวิตตามปกติธรรมดา (แบบสมมุติ สัมพัทธ์ หรือ เปรียบเทียบ) คือ พูดคุยสนทนากันรู้เรื่อง สามารถเรียนรู้ หาประสบการณ์ ศึกษาในสถาบันต่าง ๆ รับผิดชอบต่อหน้าที่การงานที่หลากหลายของสังคม ดูแลครอบครัวตนเองได้ รู้เรื่องผิดชอบชั่วดีแบบสัมพัทธ์ มีความเคารพต่อกฏเกณฑ์ของสังคม และ กฎหมายซึ่งล้วนเป็นเรื่องสัมพัทธทั้งสิ้น เป็นต้น นี่คือกลุ่มคนที่จัดอยู่ในระดับปกติแบบสัมพัทธ์ เหมือนหนังยางที่บิด ๔ รอบแล้วยังดึงให้ตรงได้ และทุกคนก็ดำเนินชีวิตไปตามความปกติที่สมมุติขึ้นมานั้น
คนส่วนมากของสังคมจึงเห็นเรื่องการได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นเรื่องดี ถูกต้องชอบเรื่องวัตถุ เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ควรไขว่คว้าหามาให้อยู่กับตนเอง คนหมู่มากพูดเรื่องเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นเป้าหมายของชีวิตของคนหมู่มาก ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกสมมุติขึ้นมาว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ตราบใดที่ไม่มีคนมาบอกเรื่องเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตว่าคือ การทำจิตใจให้เป็นปกติ หรือเข้าถึงพระนิพพานแล้วละก็ คนหมู่มากเหล่านี้ก็จะไม่มีวันรู้ว่า เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ อันเป็นค่าสัมพัทธ์นี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิตมากเท่ากับการหาอิสรภาพหรือความเป็นปกติให้กับใจของตนเองอย่างแท้จริง
หากคุณเข้าใจเรื่อง ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ดังที่ดิฉันได้อธิบายในบทที่สองแล้ว ย่อมหมายความว่า กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่มีจิตใจไม่ปกติเหล่านี้จะสร้างสังคมโลกให้เป็นไปตามที่เขาเห็นว่าถูกต้องและปกติ นั่นคือ การดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองจนเกินความจำเป็น จนไม่อยากแก่เฒ่า ไม่อยากตาย ซึ่งเขามองไม่้ออกว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อเห็นการได้ลาภเป็นสิ่งสำคัญแล้ว จึงก่อให้เกิดการแสวงหาวัตถุ ทำให้คนเห็นแก่ตัว แก่งแย่งกัน ความโลภ ความโกรธ อิจฉา เคียดแค้นพยาบาท ก็ตามมาเป็นกระพรวน ศีลธรรมจึงย่อยยับ ผลสุดท้ายคือ ปัญหาสังคมที่พันกันยุ่งเหมือนกลุ่มด้ายที่มีปมแน่นมากมาย พันกันจนไม่รู้จะเริ่มแก้ที่จุดไหนก่อน
การรักษาคนไข้โรคจิต
หากหนังยางที่บิด ๔ รอบคือ ระดับจิตใจที่ปกติแบบสัมพัทธ์ (สมมุติ) ที่คนส่วนมากของโลกเป็นแล้ว คนที่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจมากกว่าระดับปกติที่สมมุตินั้นจะเปรียบเทียบเหมือนหนังยางเส้นนี้บิดมากกว่า ๔ รอบ เช่น สมมุติว่าคนขี้หงุดหงิด หนังยางบิด ๕ รอบ คนกลุ้มใจ คิดมาก ฟุ้งซ่านมาก หนังยางบิด ๖ รอบ คนเป็นโรคประสาท หนังยางบิด ๗ รอบ คนสติแตกบิด ๘ รอบ คนเป็นโรคจิต วิกลจริตบิด ๙ รอบ คนเป็นบ้าสนิทกับคนฆ่าตัวตาย บิด ๑๐ รอบ
ที่นี้ เราหันกลับมาดูเรื่องการรักษาคนไข้โรคจิตของคุณหมอ เมื่อหมอโรคจิตไม่รู้สภาวะปกติที่แท้จริงของจิตใจเสียเอง สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือ รักษาคนไข้โรคจิตให้กลับมาสู่ระดับปกติสัมพัทธ์ ที่ชาวโลกสมมุติขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสมองจริง เช่น คนไข้โรคจิตเภท schizophrenia ซึ่งในหัวของเขาจะถูกหลอกหลอนด้วยความคิดต่าง ๆ ที่เขาเห็นเป็นจริงหมด อาชญากรรมไม่น้อยเป็นผลจากการกระทำของคนไข้ประเภทนี้ เพราะระแวงคิดว่ามีคนจะมาทำร้ายตน จึงไปทำร้ายคนอื่นเสียก่อน คนไข้โรคจิตเภทนี้ คุณหมอโรคจิตก็สามารถรักษาให้คนไข้หายเป็นปกติได้ด้วยการใช้ยาเพื่อปรับสารเคมีบางสิ่งบางอย่างในสมอง และการรักษาด้วยจิตบำบัด
หากคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Beautiful Mind ก็จะรู้เรื่องของนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ จอห์น แนช เขาก็เป็นโรคจิตเภท schizophrenia เห็นความคิดเป็นเรื่องจริงเหมือนเห็นคนจริง ๆ เขาก็รับการรักษาจนหายเป็นปกติเช่นกัน ต่อมาถึงกับได้รับรางวัลโนเบล โรคจิตเภทนี้อาจจะเป็นกันในหมู่นักบริหารก็ได้ ซึ่งถ้าใช้ยา ก็ควบคุมไว้อยู่ แต่นั่นก็เป็นการรักษาจนถึงระดับปกติสัมพัทธ์เท่านั้น เหมือนหนังยางที่บิด ๔ รอบ ซึ่งเป็นตัวแทนคนกลุ่มใหญ่ของโลกที่รับผิดชอบต่อตัวเองได้ พูดคุยสนทนากันรู้เรื่อง รู้ว่าความผิดต่างจากความถูก ความชั่วต่างจากความดีอย่างไร จึงเคารพกฏเกณฑ์และกฎหมายของสังคมได้
แต่คนที่มีระดับจิตใจที่ปกติอย่างจริง ๆ รู้ มาตรฐานของความปกติที่แท้จริง ย่อมมองออกว่าคุณหมอยังไม่ได้รักษาคนไข้โรคจิตให้หายขาดแต่อย่างใด นั่นเป็นเพียงการรักษาคนไข้โรคจิตให้กลับมาสู่ระดับปกติสมมุติของปุถุชนเท่า นั้น ยังไม่จัดว่าปกติอย่างแท้จริง หากคุณหมอที่รักษาคนไข้โรคจิตไม่มีความรู้เรื่องสติปัฏฐาน และหากคุณหมอเองมีสภาพจิตใจที่มีความบิดเบี้ยวมากกว่าระดับ ๔ รอบเสียเอง ปัญหาจะยิ่งยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นอย่างน่าใจหาย
ดิฉันมีลูกศิษย์ชาวยุโรปคนหนึ่งที่มีคุณพ่อเป็นคุณหมอรักษาคนไข้โรคจิต psychiatrist เมื่อเธอมาเรียนไท้เก็กและสติปัฏฐานกับดิฉันแล้ว เธอเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อของเธอยอมรับเองว่า ผู้มีอาชีพนี้ไม่น้อยมีปัญหาทางจิตใจที่ซับซ้อนเสียเอง ซึ่งการมาฝึกสติปัฏฐานกับดิฉันทำให้เธอเริ่มเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ถ้าอธิบายด้วยภาษาของดิฉันก็คือ เพราะคุณหมอโรคจิตยังพาตัวใจกลับบ้านไม่ได้นั่นเอง เมื่อมารับรู้และเกี่ยวข้องกับคนไข้โรคจิตซึ่งในบางกรณีอาจจะมีสภาวะ จิตที่แข็งแกร่งกว่าคุณหมอเองก็เป็นได้ การดูดซับความคิดไปมาจึงเกิดขึ้น ฉะนั้น หากคุณหมอไม่สามารถปกป้องจิตใจของตนเองโดยพาตัวใจกลับบ้านหรือกลับสู่ฐานของ สติที่มั่นคงแล้วละก็ ปัญหาจิตใจของตนเองจึงเกิด คนไทยเราจึงมักเตือนว่าอย่าไปเข้าใกล้คนเมากับคนบ้า เพราะคนเหล่านี้มีสภาวะจิตที่แข็งมาก เขาสามารถพูดให้คนเชื่อตามเขาได้ว่า การเกิดมาเป็นสุนัขอาจจะดีกว่าเกิดเป็นคนก็ได้
การฆ่าตัวตาย พฤติกรรมที่ขัดแย้ง
สิ่งที่แสดงออกถึง ความป่วยหนักหรืออาการผิดปกติอย่างมหันต์ของจิตใจมนุษย์คือ การฆ่าตัวตาย สถิติของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ในปีหนึ่ง ๆ มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จทั่วโลกเป็นจำนวน ๑ ล้านคน ศ.น.พ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม รองประธานสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) กล่าวว่า ในขณะที่เทคโนโลยีได้เจริญขึ้นในช่วง ๔๐ ปีที่ผ่านมานี้ สถิติที่คนไทยฆ่าตัวตายกลับมีสูงขึ้นถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉลี่ยคือ ๑ คนต่อทุก ๆ ๒ ชั่วโมง ศ.น.พ.อุดมศิลป์ กล่าวในการสัมมนาว่า
“ไม่มีพฤติกรรมมนุษย์หรือสัตว์ใดที่พิสดารเท่ากับการฆ่าตัวตาย เพราะทุกชีวิตย่อมรักตัวกลัวตาย แต่กลับเป็นว่ามนุษย์พยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องสวนทางกัน ขณะที่เทคโนโลยี่ของเราพยายามจะรักษาชีวิตคน แต่กลับมีคน ๑ ล้านคนทั่วโลกฆ่าตัวตาย ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนี้”[1]
เมื่อ นักการศึกษาฝ่ายโลกไม่รู้เรื่องความปกติของใจอย่างแท้จริงแล้ว จึงไปวิเคราะห์ตัวปัญหาเพื่อหาทางแก้ไขที่ปลายเหตุ ในกรณีการฆ่าตัวตายในเมืองไทยนั้น นักวิชาการบางท่านกลับไปตำหนิสื่อมวลชนว่า เสนอข่าวการฆ่าตัวตายที่ซ้ำ ๆ จึงก่อให้เกิดการเลียนแบบ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาแต่อย่างใดเลย คนที่อยากตาย แม้ไม่มีแบบให้ลอกเลียน เขาก็ต้องหาวิธีการของตนเองอยู่วันยังค่ำ เพราะเป็นเรื่องความเจ็บป่วยทางใจที่สร้างความทุกข์ใจที่เจ้าของชีวิตรับไม่ ไหวแล้ว จึงเห็นความตายเป็นทางออกทางเดียว และที่จริงแล้ว สื่อมวลชนในอังกฤษได้เปิดเผยแล้วว่ามีเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยที่ช่วยส่งเสริม ให้คนฆ่าตัวตายได้สำเร็จ โดยบอกวิธีการต่าง ๆ ให้ และยังมีให้เลือกระหว่างการฆ่าตัวตายคนเดียว หรือ ฆ่าตัวตายหมู่ ซึ่งทางเว็บไซต์จะช่วยให้ผู้อยากฆ่าตัวตายมาพบกัน เพื่อจะได้ฆ่าตัวตายพร้อมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่น ดังที่มีเรื่องให้อ่านในหน้าหนังสือพิมพ์ของอังกฤษอยู่บ่อยขึ้น เว็บไซต์เหล่านี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สถิติการฆ่าตัวตายทั่วโลกสูงขึ้นก็ เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอยู่ทุกหย่อมหญ้าทั่วโลกนั้น ล้วนเป็นผลของความผิดปกติทางใจของมนุษยชาติ หรือ เป็นอาการของการหลงทิศทางชีวิตของคนหมู่มากนั่นเอง การแก้ไขที่ต้นเหตุจึงต้องกลับมาสู่เรื่องการทำความเข้าใจเรื่องโครงสร้างของชีวิต รู้ว่าเป้าหมายปลายทางของชีวิตคือ พระนิพพานซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับความเป็นปกติของใจ เหมือนเส้นหนังยางที่ไม่มีการบิด เมื่อทราบเป้าหมายปลายทางแล้ว ก็ต้องรู้ว่าจะเดินทางไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร ซึ่งวิธีการหลักก็คือ การรักษาศีล และ การฝึกสมาธิวิปัสสนา หรือ ฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้าน
วาดรูปโครงสร้างชีัวิต สามเหลี่ยมด้านเท่า ส่วนบนเขียน พระนิพพาน ใจเป็นปกติ เส้นหนังยางไม่บิด ผัสสะบริสุทธิ์ ด้านล่างตรงกลางเขียนปัญญา ด้านขวาเขียน สมาธิวิปัสสนา ด้านซ้ายเขียน ศีล
ทุกศาสนิกชนรักษาศีลได้เท่าเทียมกันหมด
คนที่เริ่มรักษาศีลโดยการคิดดี พูดดี ทำดี นั้น สภาวะจิตใจที่บูดเบี้ยวผิดปกติจะเริ่มคลายตัวเพื่อกลับสู่ความเป็นปกติ คือ จิตกับใจที่เคยอยู่พันกันเหมือนเส้นหนังยางที่บิดนั้นจะเริ่มขบวนการคลายตัว หลุดร่อนออกจากกัน เป็นการเริ่มต้นปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ในขั้นตอนแรก
ศาสนิกชนในศาสนาอื่นนั้น หากเขารักษาศีลตามคำสอนของพระศาสดาของเขาแล้วละก็ จิตใจที่ผิดปกติของเขาย่อมคลายตัวเพื่อกลับสู่ความเป็นปกติเช่นกัน เพราะศีล และความเกรงกลัวละอายต่อการทำบาป conscience เป็นจริยธรรมสากลที่อยู่กับโลกมานานแล้ว เป็นความรู้สึกที่ธรรมชาติหรือพระเจ้าประทานให้มนุษย์เพื่อให้อยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข การรักษาศีล ที่จริงเป็นเรื่องธรรมชาติมาก
ฉะนั้น แม้ชาวคริสต์ ชาวยิว ชาวฮินดู ซิกซ์ อิสลาม หากเขารักษาศีลได้อย่างเคร่งครัดแล้ว คนเหล่านี้ก็จะอยู่ในขั้นตอนที่จิตใจเริ่มปรับเข้าสู่ระดับปกติ เปรียบเทียบได้ว่า หนังยางเส้นนี้ได้คลายการบิดเบี้ยวไปหนึ่งรอบ เหลือการบิดเบี้ยวเพียง ๓ รอบเท่านั้น ซึ่งเป็นสภาวะของกัลยาณปุถุชน คือ ปุถุชนที่ทำแต่ความดี เป็นกลุ่มที่เริ่มหันเหจิตใจไปสู่ทิศทางของชีวิตที่ถูกต้องแล้ว มุ่งหน้าสู่นิพพาน มุ่งแสวงหาพระเจ้าแล้ว เริ่มใช้ชีวิตอย่างเป็นอริยะแล้ว
มรรค ผล นิพพาน มีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ชาวพุทธอาจจะสงสัยว่า หากศาสนิกอื่นที่ไม่ได้วิเคราะห์เรื่องการไปนิพพานและไม่ได้ฝึกวิปัสสนาแล้ว จิตใจที่ไม่ปกติของเขาจะคลายตัวกลับสู่ความเป็นปกติอย่างสิ้นเชิงได้หรือไม่
หากศาสนิกอื่นที่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานสี่แล้วละก็ การคลายตัวของจิตใจที่จะกลับสู่ความเป็นปกติของจิตใจอย่างสิ้นเชิงอาจจะมีขีดจำกัดอยู่ ดังที่พระบรมศาสดาตรัสว่า เรื่อง มรรค ผล นิพพาน ไม่มีอยู่ในศาสนาอื่นนอกจากคำสอนของท่านเท่านั้น เพราะการทำให้จิตใจคลายตัวกลับสู่ระดับความเป็นปกติอย่างสิ้นเชิงจนหมดทุกข์ได้นั้น จำเป็นต้องปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ หรือ พาตัวใจกลับบ้าน เมื่อทำได้แล้ว เกลียวของจิตใจจะเริ่มคลายตัว ปรับเข้าสู่ความสมดุลที่เป็นปกติได้ในที่สุด เหมือนเส้นหนังยางที่ไม่มีการบิดเลย จิตกับใจแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง หรือ เหมือนรถไฟสองขบวนที่วิ่งได้ในระดับเดียวกัน ฉะนั้น คนที่ไม่ได้ฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านหรือฝึกวิปัสสนานั้น การปรับระดับจิตใจจนถึงระดับความหลุดพ้นนั้นอาจจะไม่เกิด ถ้าเกิดก็คงเป็นบุคคลที่ได้สร้างบารมีทางด้านปฏิบัติมาแล้วแต่ชาติปางก่อน ได้เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว เดินถอยกลับไม่ได้แล้ว แม้ไม่ได้เกิดเป็นชาวพุทธ การเดินทางย่อมไปข้างหน้าอย่างเดียว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ลงตัวอยู่
อย่างไรก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ดิฉันพยายามนำอุดมคติเรื่องพระเจ้า ต้นไม้แห่งชีวิต และการใช้ชีวิตอมตะของชาวคริสต์มาวางเทียบเคียงพระนิพพาน และปรับเรื่องสติปัฏฐานสี่ให้แก่ศาสนิกอื่นด้วยวิธีการออกกำลังกายแบบไท้เก็ก ชี่กงบ้าง เพื่อว่า ศาสนิกอื่นจะสามารถเดินทางไปสู่เป้าหมายปลายทางของชีวิต ปรับระดับจิตใจให้เข้าสู่ความเป็นปกติอย่างถาวรได้
เมื่อชีวิตหลอมรวมกับจักรวาลทั้งหมด
ในตอนต้นของบทความนี้ ดิฉันได้บอกแล้วว่า หากเราสามารถเข้าใจความรู้สึกตัวได้ละก็ เราจะสามารถเข้าใจชีวิต และจักรวาลได้เช่นกัน
ความรู้สึกตัว = ชีวิต = จักรวาล
หมายความว่า หากใครสามารถฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้าน (สติปัฏฐาน) ได้แล้ว ในขณะที่จิต (ความคิิด) หลุดออกจากใจในช่วงขณะสั้น ๆ นั้นเอง (ผัสสะบริสุทธิ์) เจ้าของชีวิตที่หลงทิศจะกลับบ้านเดิมได้ ชีวิตทั้งหมดจึงหลอมรวมกับจักรวาลทั้งหมด และเคลื่อนไปกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ อย่างไม่หยุดยั้ง เป็นชีวิตอมตะในขณะที่ยังรับผัสสะบริสุทธิ์ได้ แม้เป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม ความเข้าใจชีวิตและจักรวาลอย่างถึงแก่นจึงเกิดในขณะนั้น ๆ เช่นกัน เป็นการเข้าใจชีวิตและจักรวาลอย่างคนภายใน เพราะกลับบ้านเดิมได้แล้ว ไม่ใช่เข้าใจอย่างคนภายนอกหรือคนหลงทางชีวิตอันคือ การวิเคราะห์จิตใจตามวิธีการของปัญญาชนตามแบบอย่างการศึกษาทางโลก
ถ้าเข้าใจได้ว่า จักรวาลภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ฉะนั้น เมื่อใจของเราว่างจากจิตหรือความคิดที่เป็นมายาได้แล้ว ใจ กาย และ จักรวาลภายนอกทั้งหมดก็หลอมรวมเป็นสิ่งเดียว และเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดยั้ง
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส = จักรวาลภายนอก
ตัวใจ -----à กาย -----à รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่บริสุทธิ์
มีผัสสะบริสุทธิ์ = เข้าถึงชีวิตอมตะ = เข้าใจจักรวาลภายนอก = เข้าใจแก่นแท้ของชีวิต
สรุป
ดิฉันหวังว่า คุณคงเข้าใจได้แล้วว่า ทำไมจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ชาวโลกต้องรู้ว่าสภาวะจิตใจที่ปกติอย่างแท้จริงเป็นอย่างไรเสียก่อน มิเช่นนั้น เราจะไม่มีมาตรฐานการวัดที่พึ่งพาได้ จะรู้แต่ค่าสัมพัทธ์หรือสมมุติเท่านั้น จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งบทความนี้ึ ดิฉันก็ได้ช่วยโยงเข้าสู่ความรู้ของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้รู้จริง ช่วยให้คุณเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ความปกติทางใจที่แท้จริงคือการเข้าถึงสภาวะพระนิพพาน หรือ การสามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์นั่นเอง ซึ่งมิใช่เรื่องไกลตัวเลย ส่วนจะทำให้ใจของเราคงความปกติได้อย่างไร ก็ต้องทำเรื่องเดียวเท่านั้น คือ ทุกคนต้องรีบฝึกทักษะเรื่องการพาตัวใจกลับบ้าน หรือ ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ ทำเพียงเท่านี้ ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถเข้าใจชีวิตและจักรวาลได้อย่างถึงแก่น จึงแก้ไขปัญหาชีวิตให้ลุล่วงได้ด้วยวิธีนี้
No comments:
Post a Comment