Friday

พระโอวาท พระพุทธเจ้าศากยมุนี ปี 2546 จ. ลพบุรี

ประชุมธรรมชั้นวิริยะญาณ วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ณ สถานธรรมอ้าวเต๋อ ต. ลำนารายณ์ อ. ชัยบาดาล จ. ลพบุรี
พระพุทธะตรัสรู้เพราะความว่าง  ตั้งใจกลางความวุ่นวายไม่สับสน
ค้นหาธรรมเจริญธรรมเจริญผล  สร้างมรรคผลตรัสรู้แจ้งจิตตน

เราคือ

ศากยมุนีพุทธเจ้า          น้อมรับบัญชา จาก...
องค์ธเนษตรีธรรม         ลงสู่พุทธสถานอันสง่า แล้วแฝงกายกราบวันทา
องค์อนุตตรอมตพฤฒา   ถามผู้บำเพ็ญธรรมเจริญธรรมเจริญญาณเพียงใด

ค้นจิตว่างมีได้ในกายวุ่น                          น้ำโคลนขุ่นมีน้ำใสจริงแท้
เปรียบดั่งสัจธรรมแท้มีมารแล                   จริงแท้คือหนทางหนึ่งอันเดียว
เดินสายตรงมิอวิชชามาเกี่ยวข้อง               รู้กลั่นกรองปล่อยในนอกซึ่งศศิวิมล
หากปล่อยจิตมั่วหลงความมืดมน                ดั่งไฟลนจงเร่งใช้น้ำธรรม
พระในตนในสว่างนอกล้วนเอกัคคตา           รู้ถนอมรักษาใช้ด้วยความดี
เร่งขจัดมารร้ายปัญญาเพิ่มคูณทวี               หากมีเรื่องตรองไตร่อย่างแน่วแน่
เกิดอุษณกาลในใจจิตนิพิฏฐ์ย่อมนิรันดร์สุข  เกิดอุชุก่อนพระกลางใจนั้นบังเกิด
ความจริงพุทธะอยู่ที่กายตนล้ำเลิศ              ค้นหาทางประเสริฐตนเร่งเพียรอุตสาหะ
ปราชญ์บุราณค้นหารู้ซึ่งธรรมแท้                 รู้เปลี่ยนแปรมืดไฉนคงแสงอัประไมยยิ่ง
เป้าหมายอีกไกลให้ไสวนั้นยวดยิ่ง               ใช้ประพิณสิ่งสูงส่งล้ำค่าประภากร
พระวิสุทธิ์จุดชี้เดิมหนึ่งพิสุทธิ์ญาณ              ค้นหาทางคืนฟ้าลุจุดหมาย
แสงกลางใจเกิดได้น้อมใจกาย                   แสงกลางใจอยู่ ณ ที่แห่งใด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "แสงกลางใจ"

สัจธรรมแท้คือหนทางตรง       มิปล่อยจิตมั่งหลงในอวิชชา
ความสว่างในตนจงรักษา        ใช้ปัญญาไตร่ตรองเรื่องในใจ
พระพุทธะอยู่ที่กลางจิตตน      รู้หาค้นให้ไกลอีกไฉน
สิ่งสูงส่งล้ำค่านั้นอัประไมย      แสงไสวชี้ทางคืนฟ้าเดิม
----------------------------------
คำศัพท์

ศศิวิมล     = บริสุทธิ์เพียงจันทร์
เอกัคคตา   = ความมีจิตแน่วแน่อยู่อย่างเดียว
อุษณกาล   = ฤดูร้อน
นิพิฏฐ์       = ตั้งมั่น มั่นคง แน่วแน่
อุชุ          = งาม ซื่อตรง ตรงไปตรงมา
บุราณ       = เก่า ก่อน โบราณ
อัประไมย   = นับไม่ได้ ไม่จำกัด มากมาย
ประพิณ     = ฉลาด ฝีมือดี
ประภากร    = ผู้นำแสงสว่าง
วิสุทธิ์, พิสุทธิ์  = ความสะอาด ความบริสุทธิ์
----------------------------------------

พระโอวาทพระศากยมุนีพุทธเจ้า
(ซือจุน แปลว่า พระบรรพจารย์ / พระอาจารย์)
วันนี้เราทุกคนนั้นไปวัด ไปทำอะไรกัน
ใช่ หรือไม่ว่า ไปฟังธรรม ไปปฏิบัติตามคำสั่งสอนของซือจุน เราขอถามว่าในขณะที่เรานั้นไปวัด เราไปด้วยความบริสุทธิ์ใจหรืออย่างไรกัน แล้วในขณะที่เราพาตัวไปวัด ใช่หรือไม่ว่าต้องชำระกายเราให้สะอาดก่อน ต้อง นุ่งผ้าอย่างเรียบร้อย จะต้องนุ่งขาวห่มขาวใช่หรือไม่ แล้วขอถามว่าเรานั้นไปถึงวัดแล้วได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนอย่างที่เราสวมชุด ขาวหรือไม่
 ตัวเรายังนุ่งผ้าอย่างเรียบร้อย แต่มือเรานั้นหิ้วอะไรไป...(หิ้วปิ่นโตค่ะ/ครับ)
แล้ว ในปิ่นโตนั้นมีอะไร (มีอาหารค่ะ/ครับ)... อาหารนั้นมาถวายใคร (ถวายพระสงฆ์) แล้วในปิ่นโตที่หิ้วไปมีกี่ชีวิต ถ้าหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันนี้พวกเจ้ามาที่นี่แล้ว พวกเจ้าก็หิ้วปิ่นโตมาคนละ 1 ถามว่า ถวายให้กับเรา เราจะรับได้ไหม (รับ) ต้องรับเพราะอะไร เพราะว่า พวกเจ้านั้นนำมาถวายใช่หรือไม่ ไม่รับได้อย่างไรกัน แต่จะฉันหรือไม่ฉันก็อยู่ที่ตัวของเรา แต่ใน ทางกลับกัน เราได้รู้แล้วว่าชีวิตสัตว์นั้นล้วนน่าสงสาร เกิดเป็นสัตว์แล้วยังไม่พอ เรานั้นยังต้องไปเข่นฆ่า เข่นฆ่าแล้วยังไม่พอ ยังนำไปทำอาหาร เพียงแต่ตัวเองกินยังไม่พอ ยังให้ใครอีก แล้วยังนำมาถวายวัดอีก ใช่หรือไม่ ขอ ถามว่า หลังจากที่เรารู้อย่างนี้แล้ว พวกเจ้าจะจะยินดีนำเนื้อสัตว์มาถวายตัวซือจุนหรือไม่ ขอถามว่า ชีวิตที่เราทำลายไปอยู่ในปิ่นโตนั้น เรานำไปถวายพระ เราได้บุญหรือได้บาป (ได้บาปค่ะ/ครับ) แล้ว เหตุใด เราจึงนำชีวิตเหล่านั้นไปถวายพระล่ะ ใช่หรือไม่ว่าในขณะที่เราไปวัด เรายังนุ่งผ้าไปอย่างเรียบร้อย แต่เหตุใดเราจึงไปถอดเสื้อผ้าสัตว์เหล่านั้นไปถวายพระ นี่แสดงให้เห็นว่า เรานั้นยังสำรวมหรือไม่
ขอถามว่าเราทุกคนเป็นพุทธศาสนิกชน เชื่อฟังคำสั่งสอนของตัวเรา ขอถามง่ายๆ ว่าศีลห้า มีอะไรบ้าง...
ข้อที่ 1 (ปาณาติปาตา เวรมณี สิขาปะทังสมาทิยามิ) แปลว่าอะไรล่ะ (ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)
ห้ามฆ่าสัตว์ ท่อง ทุกวัน แต่เราก็ฆ่าทุกวันใช่หรือไม่ แล้วอย่างนี้เราจะถือว่าเป็นข้อปฏิบัติตามคำสั่งสอนได้อย่างไรกัน เราเพียงแต่ท่องๆไปเท่านั้นเอง สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้เราประทังชีวิตใช่หรือไม่ เพราะเรายังไม่รู้ แต่หลังจากที่เรารู้แล้ว ซือจุนขอบอกว่าสัตว์เหล่านั้นก็มีชีวิตรักตัวเอง...ขอ ถามว่า ถ้าวันนี้มีใครมาทำลายชีวิตเรา เราจะยอมหรือไม่ ยอมไหม เพราะเหตุใดเราจึงยังทำลายสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เพียงแต่ทำลาย เรายังนำไปถวายพระอีก...พระจะไม่ฉันได้อย่างไรกันใช่หรือไม่ วันนี้เราเป็นพุทธศาสนิกชนจริงหรือไม่ จริงไหม วันนี้เรายังไม่รู้อะไรคือบุญ อะไรคือบาป ศีลข้อที่ 1  ห้าม ฆ่าสัตว์ เหตุใดจึงห้ามฆ่าสัตว์ล่ะ เพราะชีวิตใคร ใครก็รักใช่หรือไม่... วันนี้เรารักชีวิตเราไหม แล้วถ้าเกิดว่ามีใครมาพลัดพรากคนที่เรารู้จักไปล่ะ เราจะยินยอมไหม แล้วซือจุนขอถามว่า วันนี้พวกเจ้าทุกคนทำลายไปแล้วกี่ชีวิต
เหตุ ใดเรานั้นท่องอยู่ทุกวันว่าห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามฆ่าสัตว์ ไปวัดไปวัด ก็ห้ามฆ่าสัตว์ ท่องไปเรื่อยๆ แต่ในมือยังคงถืออะไรไป ถือชีวิตสัตว์ไป เพราะว่าเรานั้นยังไม่รู้ใช่หรือไม่ หรือใครคิดว่าเรานั้นเกิดมาต้องกินเนื้อสัตว์บ้าง ยกมือขึ้น เกิดมาแล้วต้องกินเนื้อสัตว์เป็นอย่างนั้นหรือ ขอถามว่า เนื้อสัตว์อร่อยตรงไหน ใครตอบได้บ้าง เราเป็นพุทธศาสนิกชนเชื่อฟังคำสั่งสอนใช่หรือไม่ แล้วตอบซือจุนได้หรือไม่ว่า เนื้อสัตว์อร่อยตรงไหน ถ้าไม่ผ่านการปรุงแต่งจะอร่อยใช่หรือไม่ แล่วอร่อยตรงไหน ตรงที่เราเติมเครื่องลงไปใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดวันนี้คนเราจึงยากที่จะหลุดพ้น เพราะว่าเรานั้นยังคงหลงอยู่กับเครื่องอะไร เครื่องประทินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ไม่ว่าจะลาภยศต่างๆ เราก็ยังคงปรุงลงไปอย่างนั้น จึงยากที่จะหลุดพ้นจากหนทางแห่งการเวียนว่าย ยังคงลุ่มหลงต่อไปเรื่อยๆ และก็ยังคงคิดว่าตัวเรานั้นเกิดมาเพื่อกินเนื้อ สัตว์ เราก็กินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน ถ้าอยู่เพื่อกิน สงสัยจะไม่มีคนอยู่บนโลกนี้แล้ว แม้เนื้อคนคงจะเข้าปากแล้วล่ะ ใช่หรือไม่  วันนี้เหตุเพราะเรานั้นกินเพื่ออยู่ ถูกต้อง แต่วันนี้เรานั้นได้ทานเนื้อเข้าไป  ทานเข้าไป เรารู้หรือไม่ว่านั่นคือเรากำลังกินชีวิตหนึ่งเข้าไปแล้ว เรายังไม่รู้ แต่วันนี้เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่  รู้แล้วว่าจริงๆคนเรากับชีวิตสัตว์ไม่ต่างกันเลย ต่างกันแต่เพียงร่างกายเท่านั้น...ขอ ถามว่า สัตว์น้อยเหล่านั้นมีจิตวิญญาณหรือไม่ มีจิตวิญญาณ แต่ว่าเป็นจิตวิญญาณที่มืดมนมากเกินไป ยากที่จะพาตนเองนั้นค้นพบทางที่สว่างได้  เพราะฉะนั้น จึงได้เกิดกายมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพียงแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานที่น่าสงสาร แล้วคนเรายังไปทำลายอีกใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นขอถามว่า เราทุกคนนั้นได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนแล้วจริงๆหรือ อย่างไรกัน  ห้ามฆ่าสัตว์ เหตุใดจึงต้องห้ามฆ่าสัตว์  ก็ เพราะว่าเพื่อปลูกฝังให้เราทุกคนนั้นมีความเมตตากรุณา อย่าลืมว่าสัตว์น้อยเหล่านั้นล้วนเป็นพี่น้องของเรา เราท่องอยู่เสมอๆ ว่าอะไร (สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อะเว ราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อนีฆาโหนตุ อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย สุขีอัตตานังปริหรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ)
เราเชื่อแล้วว่าทุกคนเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆ ท่องได้จริงๆ แต่ปฏิบัติได้จริงมีกี่คนจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย...แล้วขอถามว่า เรานั้นได้เบียดเบียนชีวิตสัตว์หรือไม่ (เบียดเบียน) เบียดเบียนไปแล้วมากน้อยเท่าไร แล้วเหตุใดเรายังท่องว่า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด...เรานั้นไปเบียดเบียนชีวิตสัตว์เหล่านั้น ขอถามว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นสุขอยู่จริงๆหรืออย่างไรกัน สุขตรงไหนล่ะ  เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เราท่องๆไปแล้ว ขอถามว่า เรา ใช้เพียงแต่ปากท่อง ในขณะที่เราท่องนั้น เราปฏิบัติได้ถึงเสี้ยวหนึ่งหรืออย่างไรกัน เพราะฉะนั้น ขอให้พุทธศาสนิกชนทุกๆคน จงอย่าลืมว่า วันนี้เราล้วนเป็นชาวพุทธใช่หรือไม่ เราไปวัดกันบ่อยใช่หรือไม่ ขอถามว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสงฆ์แล้วเท่าใด ใช่หรือไม่ว่า ถึงเวลาวันพระแล้วเราก็ไปวัด เพราะฉะนั้น อย่าลืมว่า วันนี้ เราไปวัดเพื่ออะไร เพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัวใช่หรือไม่ เพื่อไปค้นพบทางสว่าง เพื่อไปฟังพระเทศน์ใช่หรือไม่ แล้วขอถามว่าฟังแล้ว เข้าใจเท่าใด บทพระไตรปิฎกมีตั้งมากมาย เราอ่านท่องเรารู้เราปฏิบัติได้กี่ข้อ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ อย่าลืมว่าทุกคนนั้นปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติให้ได้ มีศีล มีศีลไว้เพื่อทำอะไร มี ศีลให้เราปฏิบัติตาม แต่ทุกคนนั้นปฏิบัติตามศีลจริงหรือไม่ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะฉะนั้นเราทุกคนมีศีลไว้ปฏิบัติ ไว้ชำระล้างกาย ขอถามว่า ถ้าเรานั้นมีศีลแล้ว เราไม่ปฏิบัติตาม ผลอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเรา...เราทุกคนเป็นพุทธศาสนิกชนใช่หรือไม่  เหตุใดจึงตอบไม่ได้ล่ะ ขอถามว่า วันนี้เรานั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ เราบาปไหม เรานั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ เราไม่บาปจริงๆหรือ แล้ว ถ้าเราไม่ประสงค์จะเอาเนื้อสัตว์  คนอื่นเขาจะฆ่าไหม (ไม่ฆ่า) แล้วเหตุใดเขาจึงฆ่า (เพราะเราอยากกิน) แล้วถ้าเราไม่ประสงค์จะเอาเนื้อสัตว์ จะมีพ่อค้าแม่ ค้าขายเนื้อสัตว์เกิดขึ้นหรือไม่ (ไม่เกิด) แล้วเหตุใดจึงมีพ่อค้าแม่ค้าเนื้อสัตว์เกิดขึ้นล่ะ  เพราะฉะนั้นตอบ ตอบได้ อย่ามัวแต่เข้าข้างตนเอง
วันนี้ เราทุกคนเข้าข้างตนเองว่าเรานั้นไม่ได้เป็นคนฆ่า ขอถามว่า ถ้าวันนี้ เรานั้นเป็นผู้ร้าย ตำรวจจะจับกี่คน ถ้าไม่มีคนสั่งให้เขาไปฆ่า เขาจะฆ่าไหม (ไม่ฆ่า)  แล้วเหตุใดจึงฆ่าล่ะ ใช่หรือไม่ว่า มีคนสั่งให้ไปฆ่า หลังจากที่ฆ่าคนแล้ว ขอถามว่าตำรวจจะจับทั้งหมดกี่คน จับเราคนเดียวใช่หรือไม่...(ไม่ใช่) เช่นเดียวกัน วันนี้เราบอกว่า เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ เพียงแต่ไปซื้อมาเท่านั้น เราไม่บาป ใช่อย่างนี้หรือ ถ้าเกิดว่า วันนี้เรานั้นไม่ประสงค์ที่จะทานเนื้อสัตว์  จะ มีการฆ่าเกิดขึ้นไหม (ไม่มี) แล้วเหตุใดเราจึงเข้าข้างตนเองว่าเรานั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ เพราะอะไรล่ะ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าลืมว่า ถ้าวันนี้เรานั้นไม่ประสงค์ที่จะทานเนื้อสัตว์ ก็จะไม่มีการฆ่าเกิดขึ้น แต่บางคนบอกว่า ฆ่าสัตว์เพื่อประทังชีวิต แล้วขอถามว่า  ถ้าวันนี้เรานั้นอยู่ดีๆ มีคนใช้ดาบมาแทงตัวเรา เราจะยอมหรือไม่ (ไม่ยอม) ไม่ยอม แล้วขอถามว่าวันนี้ เรานั้นได้ยืมมือคนฆ่าไปแล้วกี่ชีวิต แล้วอย่างนี้เราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรืออย่างไรกัน คิดๆดู คิดก่อนตอบ เพราะฉะนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เราเชื่อแล้วว่า ทุกคนนั้นปฏิบัติตามคำสั่งสอนของเราจริงๆ เราอุตส่าห์มีจิตยินดีมาถึงที่นี่ แต่เหตุใด พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงปฏิบัติอย่างนี้ แล้วจะถือว่าเรานั้นเป็นชาวพุทธศาสนิกชนได้อย่างไรกัน อย่าลืมว่าวันนี้เราได้ทำลายไปแล้วกี่ชีวิต อย่าลืมว่าชีวิตที่เรานั้นทำลายไป จะกลับมาหาตัวเราสักวันหนึ่ง จะตอบแทนเราอย่างไรเราก็ไม่รู้ อย่าลืมว่า สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ถ้า ว่าเราท่องอย่างนี้ เราไม่ปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น เราเป็นคนฆ่า หรือ ไม่เป็นคนฆ่า เราผิด หรือ ไม่ผิด กลับไปคิดเองก็แล้วกัน หาไม่แล้วทุกคนจะว่าตัวเราบังคับพวกเจ้า เพราะฉะนั้นบาปบุญคุณโทษ ใครสร้างกรรมใด คนนั้นก็รับกรรมนั้นไป เราจะไม่กล่าวอีกแล้ว
ต่อ ไปข้อที่ 2 คืออะไร ศีลข้อที่ 2 คือ (อทินนาทานา เวระมณี สิกขาปะทังสมาทิยามิ) หมายถึงอะไร ห้ามลักทรัพย์ ทุกคนนั้นไม่ได้ทำ แต่เหตุใดจึงมีศีลข้อนี้เกิดขึ้น ก็เพราะว่าการที่เรานั้น กว่าจะหาทรัพย์สินมาได้ จะต้องลำบากทั้งกายลำบากทั้งใจ ใช่หรือไม่ จะต้องลำบากตรากตรำ กว่าจะได้ทรัพย์สินมา เมื่อเรานั้นได้ทรัพย์สินมาแล้ว เราก็ไม่อยากจะให้คนอื่นลักขโมยไป แต่ถ้าวันนี้ถูกคนอื่นลักขโมยสิ่งของไป อะไรจะเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ว่า โลกเรานี้วุ่นวายเหลือเกิน เพราะว่าคนเรานั้นไร้ซึ่งจิตเมตตา ไร้ซึ่งจิตมโน จึงมีการลักทรัพย์ ฉุดชิงวิ่งราวเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้นจึงเกิดความวุ่นวายต่างๆขึ้น วันนี้เรานั้นไปขโมยสิ่งของผู้อื่น ขโมยแล้วผลยังคงไม่ตอบสนอง แต่ชาติหน้าต่อไป เกิดชาติหน้าฉันใด ถ้าเจ้ากรรมนายเวรมาเจอแล้ว เราขอถามว่า เจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้เราใช่หรือไม่ เราเคยสังเกตหรือไม่ว่า เหตุใดวันนี้เราเกิดมาเป็นคุณพ่อบ้างล่ะ เป็นคุณแม่ คุณลูกบ้างล่ะ ทำไมลูกบางคนจึงกตัญญู เหตุใดลูกบางคนจึงล้างผลาญพ่อแม่ เราเคยคิดตรงนี้ไหม นี่คือสิ่งที่เรานั้นได้สร้างมาแล้ว ในอดีตชาติไม่รู้กี่กัปล์ เหตุใดวันนี้ ลูกเราจึงฟังคำสั่งสอน เหตุใดลูกของเราจึงไม่ฟังคำสั่งสอน เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่พวกเราได้สร้างมา ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ถ้าวันนี้เราลักขโมยสิ่งของผู้อื่นไปเท่าใด ขอบอกได้เลยว่าจะมีสิ่งตอบสนองมากกว่าเป็นร้อยๆเท่า เพราะฉะนั้น เราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ
ข้อที่ 3 (กาเม สุมิจฉาจารา เวระมณี สิกขาปะทังสมาทิยามิ) แปลว่าอะไร (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  ใช่หรือไม่ว่าทุกคนนั้นมีครอบครัว  เมื่อเรามีครอบครัวแล้ว เราจะต้องรักเดียวใจเดียว ถ้าไปทำความเดือดร้อนให้กับครอบครัวอื่น ขอบอกว่า บาปมากที่สุด ไม่เพียงแต่ทำความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวเรา ยังทำความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่นด้วย ไม่เพียงแต่ทำความเดือดร้อนให้กับภรรยาของเรา ยังทำให้ลูกน้อยเหล่านั้นพลัดพรากจากบุพการีของเขาด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีครอบครัวแล้ว จะต้องรักเดียวใจเดียวกับครอบครัวของเรา อย่าประพฤติผิดในกาม ถ้าเกิดว่าใครประพฤติผิดในกาม จะถูกยมบาลทำโทษ ตกนรกขุมสุดท้าย    หลังจากที่เรารู้แล้ว จงปฏิบัติใหม่ แก้ตัวใหม่ 
ข้อ ที่ 4 (มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทังสมาทิยามิ) แปลว่า (ไม่พูดปด) ใครบ้างตั้งแต่เกิดมา พูดแต่ความจริงบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มีใครยกมือเลย) แล้วอย่างนี้เราปฏิบัติตามศีลแล้วหรืออย่างไรกัน ชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าลืมว่า การที่เรานั้นพูดปดหรือพูดจริง ก็อยู่ที่กรรมวิธีในการพูด อย่างเช่นวันนี้ แต่งตัวไปโรงเรียน บอกบุพการีว่า จะไปโรงเรียน แล้วเรานั้นกลับไม่ไปโรงเรียน อย่างนี้ถูกต้องไหม แต่วันนี้บางคนมาถึงที่นี่แล้ว บางคนบอกว่า เราไปเที่ยวน้ำตกกันเถิด แต่ผลปรากฏว่า คนๆนั้นพูดปดให้ถูกหลอกมานั่ง ณ ที่นี่ มีบ้างไหม (หลอกมานั่งฟังธรรมะ) การพูดปดอย่างนี้ใช้ได้ เพราะอะไรล่ะ เพราะว่าคนที่พูดปดเหล่านี้บอกว่า ไปเที่ยวน้ำตกกันนะ แต่ปรากฏว่า ถูกจับมานั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ อย่างนี้ถือว่า คนๆนั้นมีทักษะในการพูด เพื่ออะไรล่ะ เพื่อให้คนที่กำลังลุ่มหลงเหล่านั้น รู้ซึ้งถึงหนทางที่แท้จริง รู้ว่าคนเรานั้นเกิดมาแล้ว ประตูจิตพุทธะอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงต้องถูกจับมานั่งอยู่ ณ ที่นี่ แต่หลังจากที่เราถูกจับมานั่งฟัง เราจะฟังเท่าไหร่ค่อยว่ากัน ถ้าใครพูดอย่างนี้ ตัวเรานี้ก็ขอชมเชยคนนั้นล่ะ เพราะสามารถที่จะชักจูงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมารู้ซึ้งซึ่งสัจธรรม เพราะฉะนั้นใครพูดปดกับสิ่งเหล่านี้ ถือว่าไม่ผิด  แต่ในทางกลับกัน เรานั้นพูดปดทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน คอยยุแหย่ คอยทำให้ผู้อิ่นแตกแยก นี่ก็ถือว่า เรานั้นได้สร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่นแล้ว เพราะฉะนั้นการพูดปดเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี)   เรามีปากไว้พูดแต่สิ่งที่ดีๆ อย่าพูดปด เข้าใจหรือไม่
ข้อ ต่อไป ข้อที่ 5 (สุราเมระยะ มัชชะปมาทถานา เวระมณี สิกขาปะทังสมาทิยามิ) แปลว่า ห้ามดื่มสุรามึนเมา ใช่หรือไม่  แต่ถ้ามีการจัดงานศพขึ้น มา มีการดื่มไหม (มี) มีงานเลี้ยงฉลอง ดื่มไหม (ดื่ม) รับปริญญา ดื่มไหม (ดื่ม) แล้วอย่างนี้เราเป็นพุทธศาสนิกชนได้อย่างไรกัน ขนาดเราทุกๆคนมานั่งเก้าอี้สบายๆ แล้วยังนั่งตัวตรงๆไม่ได้เลย ยังบังคับตนเองไม่ได้เลย แล้วขอถามว่า เราจะสามารถบังคับตนเองไม่ให้ดื่มสุราได้หรืออย่างไรกัน เพราะฉะนั้นเหตุใดจึงห้ามดื่มสุราของมึนเมาล่ะ ใช่หรือไม่ว่า หลังจากที่เราดื่มสุราเข้าไปแล้ว ทำให้เราขาดซึ่งสติสัมปชัญญะตลอดเวลา หลังจากที่เรานั้นดื่มเข้าไปแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้โลกนี้วุ่นวายอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นตัวเรา ขอถามว่าทุกคนมาถึงที่นี่แล้ว เราสามารถบังคับให้ตัวเรานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ได้นานขนาดไหนเชียว เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เราต้องมาฝึกฝนกันบ้างล่ะ บางคนเคยสนุกสนานรื่นเริง แต่มาที่นี่ นั่งติดหรือไม่ นั่งไม่ติด แต่ยังคงพาตนเองหลบๆใช่หรือไม่ ไม่เพียงแต่นั่งหลบๆ มาถึงที่นี่แล้วก็ไม่รู้ว่า จะเคารพกฏที่นี่หรือไม่ แล้วจะถือว่าเรานั้นปฏิบัติตามคำสั่งสอนได้อย่างไรกัน  พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าลืมว่า วันนี้เรานั้นมาถึง ณ ที่นี่แล้ว มารู้ซึ่งหนทางแห่งการหลุดพ้นแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อถึงวันนั้น วันที่ตัวเรานั้นละกายสังขารไปแล้ว ขอถามว่าเราจะซื้อเวลาเหล่านี้กลับมาได้หรือไม่ เราจะบอกยมบาล ว่าขอเวลาให้เรานั้นได้ไปทบทวนไตรรัตน์ สามสิ่งวิเศษก่อน จะทันกาลหรือไม่ ไม่ทันกาล เพราะฉะนั้น หลังจากที่รู้อย่างนี้แล้ว เหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย มาถึง ณ ที่นี่ได้ พาจิตของตนเองมาหรือไม่ ขอถามว่าถ้าเกิดธรรมะนี้ ไม่เป็นธรรมะที่แท้จริง เหตุใดจึงมีคนไปชวนเรามา ณ ที่นี่ล่ะ เพราะฉะนั้นทุกๆคนจงคิดๆดูหน่อย
ขอ ถามว่าทุกคนมานั่งฟังธรรมะที่นี่ เราได้บุญหรือไม่ (ได้ค่ะ/ครับ) ไม่เพียงแต่เราได้บุญ ยังส่งผลบุญให้กับบุพการีของเรา วันนี้ถ้าเกิดใครตั้งใจฟัง บุพการีของเราก็ได้บุญได้บารมีจากตัวของเรา ยังแผ่บารมีให้กับบรรพบุรุษของเราด้วย แต่ว่าวันนี้ไม่เพียงแต่ไม่ตั้งใจฟัง ยังมาสร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น ขอถามว่ามาที่นี่เกิดประโยชน์หรือไม่ เรานั้นเป็นห่วงกังวลทางบ้านหรืออย่างไรกัน เราจงตั้งใจ อย่าลืมว่า ทุกคนนั้นมีเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรยังคงล้อมรอบตัวเราอยู่ วันนี้เราอาจจะหลีกหนีได้ แต่สักวันหนึ่ง พรุ่งนี้ใครจะไปรู้  เพราะฉะนั้นเรามีชีวิต เราจะต้องใช้ชีวิตบำเพ็ญปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีๆ หาไม่แล้ว เจ้ากรรมรายเวรค้นพบตัวเรา ขอถามว่า พระพุทธจี้กงจะช่วยเหลือเราทันหรือไม่ ช่วยเหลือเราไม่ทัน ถ้าใครยังคิดว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องงมงายอยู่ล่ะก็ ตัวเราไม่บังคับ คิดต่อไปเถิด แต่เมื่อถึงวันนี้ วันที่เรานั้นไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเราเองได้แล้ว ขอบอกได้เลยว่า ไม่รู้สิ่งใดจะเกิดขึ้นกับตัวเรา พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าลืมว่าเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ทุกๆคนจะต้องมีจิตสำรวมอยู่ตลอดเวลา จะต้องย้อนมองตนเองตลอดเวลา หาไม่แล้วไม่รู้ว่าภัยสิ่งใด จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ขอถามว่า วันนี้เราได้ค้นพบใจเราแล้วหรืออย่างไรกัน ขอถามว่าใจแท้ที่จริงของเราอยู่ ณ ที่ไหน เหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เรากราบขอวิงวอนให้ทุกคนนั้นทำสิ่งใดก็ตาม จงไว้ซึ่งจิตเมตตามโนธรรม ชีวิตทุกชีวิตก็คือชีวิต จะต้องมีเมตตาการุณย์ จะต้องเอื้อเฟื้อ จะต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน หาไม่แล้วโลกก็ยังคงวุ่นวายอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นหลังจากที่เราได้ศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญเข้าใจแล้ว จงปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยจิตที่เมตตากรุณา มโนธรรม ดีหรือไม่ ถ้าดี เราก็ปลาบปลื้มใจ
วันนี้ เหตุใด ตัวเราจึงได้กล่าวคำหนักๆลงไป ใช่หรือไม่ว่า ต้องการให้ทุกคนนั้นทำตามเรา ไม่จำเป็น! เราจะทำได้หรือไม่ ก็แล้วแต่ตัวของเรา แต่เราหวังอีกอย่างหนึ่งว่า ขอให้ทุกคนนั้นนำคำพูดของเราไม่กี่คำ ไปปฏิบัติเท่านั้นก็พอ หวนย้อนคิดไป ซือจุนนั้นเป็นพระโอรส ไม่รู้เลยว่า การเกิดแก่เจ็บตายนั้นหมายถึงอะไร จนวันหนึ่งได้ออกไปท่องเที่ยว ได้พบว่า เหตุใดจึงมีคนผมขาวๆ เหตุใดจึงมีการแบกคน เหตุใดจึงมีการเจ็บป่วย ตัวซือจุนนั้นไม่รู้เลย เพราะตัวซือจุนยังคงได้รับความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากบิดามารดาของเรา จึงไม่รู้เลยว่าโลกเรานี้ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด มีการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าหวนย้อนคิดไปถึงวันนั้น หากตัวเราไม่ออกมาค้นหา ตัวเราก็ยังเป็นพระโอรส สืบความสุขสบายในพระราชวังอยู่อย่างนั้น ได้ผ่านการอภิเษกสมรส แล้วก็ยังมีการสืบทอดราชบัลลงก์
ออก มาค้นหาหนทางแห่งการหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด ไม่เพียงแต่ออกมาค้นหา ยังทำให้ร่างกายของตนเองรับทุกข์ทรมาน อดอาหารต่างๆ มากมาย ขอถามว่า การอดอาหาร การบำเพ็ญทุกข์กริยาสามารถทำให้ตัวเรานั้นหลุดพ้นได้หรือไม่....ไม่ได้ !.. ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเรานั้นลำบากพ่ายผอมลง ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังไม่สามารถทำให้ตัวของซือจุนนั้นสามารถสำเร็จธรรมได้ แต่ด้วยความที่ไม่พ่ายแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ มีกำลังใจในการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม จึงทำให้ตัวเรานั้น สามารถหลุดพ้นหนทางแห่งการเวียนว่ายตายเกิด สามารถค้นพบหนทางแห่งการหลุดพ้นสู่แดนสุขาวดีได้ ไม่เพียงแค่เราค้นพบ เราได้ถ่ายทอดให้ใคร รู้หรือไม่ ตัวเรานั้นได้ถ่ายทอดให้พระมหากัสสปะ แล้วขอถามว่า ใครถ่ายทอดให้กับตัวซือจุนล่ะ  (บุคคลากรและนักบรรยายตอบว่า พระทีปังกรพุทธเจ้า) ถ่ายทอดอย่างไรล่ะ (นักบรรยายตอบ: พระพุทธทีปังกรได้อาศัยแสงของดวงดาวประกายพฤกษ์ ถ่ายทอดให้)
จะ อย่างไรก็ตาม รู้หรือไม่ว่า พวกเจ้าทุกคนนั้นโชคดีเหลือเกิน เพราะปราชญ์ในบุราณกว่าจะรู้ซึ้งถึงสัจธรรมนี้ได้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า จะต้องบำเพ็ญเท่าไหร่ แล้ววันนี้พวกเจ้าล่ะ ใช่หรือไม่ว่า ไม่เพียงแต่มีคนไปชักชวนเรา บางทียังมีคนไปขอร้องเราอีก  แล้วเหตุใดเราจึงไม่รู้ถึงคุณค่าเหล่านั้น เพราะว่าเรานั้นรับวิถีธรรมได้อย่างง่ายดายเลยใช่หรือไม่ เราจึงไม่เห็นคุณค่าใช่ไหม แต่ขอบอกได้เลยว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เรารู้ซึ้งถึงวิถีธรรมนี้แล้ว รู้ซึ้งถึงธรรมะอันล้ำค่านี้แล้ว ขอให้เรานั้นปฏิบัติต่อไป หาไม่แล้วเราก็ยังคงเป็นปุถุชนอยู่อย่างนี้ หรือ ย้อนกลับไป หากตัวซือจุนไม่หันหน้ามาบำเพ็ญธรรม ขอถามว่าจะสามารถสำเร็จได้หรือไม่  (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนจงปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ดีหรือไม่ วันนี้คำใดประโยคใดที่ตัวซือจุนกล่าวหนัก หรือกล่าวแล้วทำให้ทุกคนไม่สบายใจ ก็ขออภัยด้วย แต่จริงๆแล้ว ตัวซือจุนตั้งใจให้ทุกคนนั้น ปฏิบัติให้รู้ซึ้งถึงสัจธรรม เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนจงพบแสงกลางใจตนเองด้วย วันนี้เราทุกคนค้นพบแสงกลางใจของตนเองแล้วหรืออย่างไรกัน เหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันนี้พวกเจ้านั้นได้ปฏิบัติในสิ่งที่ดีแล้ว แต่เรานั้นอย่าหยุดการไปวัดล่ะ อย่าหยุดการปฏิบัติตามคำสั่งสอนล่ะ แต่ถ้าสามารถละจากการหิ้วเนื้อสัตว์ เปลี่ยนเป็นผักผลไม้ได้ ก็เป็นดี เข้าใจไหม (เข้าใจค่ะ/ครับ)
(พระพุทธองค์ทรงเมตตาให้ทุกคนอ่านพระโอวาทบนกระดาน : 
  อันจิตว่างมีได้ในกายวุ่น              น้ำโคลนขุ่นมีน้ำใสจริงแท้
  เปรียบดั่งสัจธรรมแท้มีมารแล      จริงแท้คือหนทางหนึ่งอันเดียว)
ใช่ หรือไม่ว่า ถ้าจิตเรานั้นตรง จิตเราว่างจริงๆ ขอถามว่า ถ้ามีสิ่งของทำให้เรานั้นวุ่นวาย ทำให้เราหลงไป เราจะหลงไปกับสิ่งนั้นได้ไหม ถึงแม้ว่าเรานั้นจะนั่งสมาธิหรือไม่ ถ้าวันนี้จิตเราวุ่นวาย สับสนเหลือเกิน  แต่หลังจากที่จิตเราวุ่นวายแล้ว เรากลับมานั่งสมาธิ ขอถามว่า จิตเราจะนิ่งไหม (ไม่นิ่งค่ะ/ครับ) ยังคงฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้นใช่หรือไม่ บุคคลที่ถือว่าจิตนิ่งจริงๆ ก็คือสามารถพาตนนั้นไม่วุ่นวายได้ตลอดทุกสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องมานั่งสมาธิ เพราะฉะนั้น อันจิตว่างจึงมีได้ด้วยกายวุ่น ดูอย่างน้ำโคลน ขอถามว่า น้ำโคลนนั้นมีน้ำใสหรือไม่ (มีค่ะ/ครับ) มีน้ำใสอยู่ แต่จะต้องใช้ระยะเวลาในการตกตะกอน คนเราเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราเกิดมาแล้วมีน้ำโคลนเกิดขึ้นมากมายในตัวเรา แต่ขอถามว่าเราสามารถค้นพบน้ำใสได้หรือไม่ แท้จริงแล้วเหตุใดจึงมีผู้คนมากมายที่ไม่เข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรมล่ะ เพราะอะไร เพราะเขายังไม่รู้ ยังลุ่มหลงอยู่ในอบายมุข ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้น สัจธรรมที่แท้จริงจึงมีมารคอยขัดขวางให้พวกเราทุกคนไม่ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม หากไม่มีมารมาผจญตัวเรา โลกเรานี้คงจะสันติสุขไปแล้ว เพราะฉะนั้นสัจธรรมที่แท้จริงจึงมีมารมาคอยขัดขวาง ถึงแม้มีมารมาคอยขัดขวาง แต่จิตหนึ่งตัวเรานั้นจะต้องยึดสัจธรรม จะต้องรู้ซึ้งซึ่งแสงกลางใจตัวเรา เข้าใจหรือไม่

No comments:

Post a Comment