“ศิษย์รักเอ๋ย..สำรวมในหน้าที่แล้วหรือยัง ?
ศิษย์รักเอ๋ย..หล่อเลี้ยงพุทธจิตแล้วหรือยัง ?
ศิษย์รักเอ๋ย..จิตนอบน้อมบังเกิดแล้วหรือยัง ?
ศิษย์รักเอ๋ย..จิตเมตตาช่วยผู้อื่นมีแล้วหรือยัง ?”
เราคือ
สงฆ์จี้กงแห่งซีหู
องค์ไอศวรผู้เมตตา
องค์ธเนศตรีศวรน้อมรับวโรงการจาก
ลงสู่พุทธสถานอันสง่า แล้วเคียมคัล
ถามศิษย์รักทุกคน ขณะนี้บังเกิดจิตอะไรบ้าง ?
ก็ อยากดูแล เจ้ามากกว่านี้เหลือเกิน จิตธรรมห่างเหิน จนเพ้อลืมเลือนหน้าที่ เมื่อถูกสอบใจให้มารเคี่ยวขับ ยากจะแบกรับเคี่ยวกรำสักที กายใจเริ่มอ่อนโรยแรง ใครหนาจะมาเห็นใจ ห่วงศิษย์คนดี ภาระหน้าที่ อย่าทิ้งไป อาจารย์ห่วงใย ดั่งพ่อที่คอยเคียงข้าง ขอจิตใจธรรมมั่นคงแข็งแกร่ง สู้กับพายุที่คอยสาดใจ ทำสุดใจธรรมที่มี ไม่ต้องสนใจคำกล่าวหา
* ใจที่ไม่ใช่ธรรม คือมารที่คอยขับเคี่ยว เหนื่อยก็รู้ ทุกข์ก็เข้าใจ แต่ไม่อาจบรรยายให้ใคร ใจที่ไม่ใช่ธรรม คือมารที่คอยขับเคี่ยว หน้าที่ต่างฐานะกัน มุ่งเดินก้าวถึงเส้นชัย ภาระช่วยแบกมอบไว้ ไม่มีใครทำแทนกันได้
คอยอยู่ เคียงใจ เพื่อช่วยหนุนนำสำรอง ขอศิษย์อย่าหมอง ยามท้อแปรใจธรรมง่าย เมื่อศิษย์บำเพ็ญข้ามพรหมลิขิต ก็อย่าได้คิดมากจนวุ่นวาย ต้องมองตนว่าเราคือใครเคี่ยวขับหลอมใจได้เป็นพุทธา ( ซ้ำ * /__ )
เวลา มีการประชุม ถ้ามีคนตาม เราก็มา ถ้าไม่มีใครตามเราก็ไม่มา มีใครคิดที่จะโทรศัพท์ไปถามบ้างว่ามีชั้นประชุมอะไรบ้าง หรือมีแต่ให้อาจารย์ตามเราอย่างเดียว ถ้าไม่คนคอยปลุก เราก็จะไม่เดินใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ไม่มาเราจะมาทำไม ใช่หรือไม่ อาจารย์ก็ส่วนอาจารย์ ใครกินใครก็อิ่ม อาจารย์กิน อาจารย์ทำ อาจารย์ก็อิ่มเอง แล้วเราล่ะในแต่ละวัน เราไม่คิดจะทำกันบ้างหรือ (คิดค่ะ) มีแต่คิดอย่างเดียว คิดอยู่ที่ไหนล่ะ คิดอยู่กับบ้าน บ้านของเราสวยงาม อยู่แล้วสบายใจใช่หรือไม่ คิดจะทำอะไรก็ได้ แล้วบ้านที่ยิ่งใหญ่ของเราล่ะ เราได้ทิ้งบ้านเดิมหรือไม่ จะมีใครสักกี่คนที่จำบ้านเดิมที่อยู่เบื้องบนได้ ถ้าไม่มีเหตุเดือดร้อนอันใด เราก็จะไม่คิดถึงบ้านเดิม เป็นอย่างนั้นไหม
ทุกคนล้วนมีภาระหน้าที่ของตนเอง อาจารย์ก็มีภาระหน้าที่ของอาจารย์ ภาระหน้าที่ของอาจารย์คืออะไรล่ะ (ฉุดช่วยเวไนยและฉุดช่วยตัวเอง) แน่ใจไหมว่าฉุดช่วยตัวเอง ภาระหน้าที่ของอาจารย์ใหญ่ไหม (ใหญ่) ภาระหน้าที่ของอาจารย์นั้นสูงไหม (สูง) น่ากลัวไหม (น่ากลัว) ยิ่งสูงก็ยิ่ง น่ากลัว เราเป็นอาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างไร เราเคยคิดบ้างไหม
อ่านสี่บรรทัดบนกระดานพร้อมกัน
“ศิษย์รักเอ๋ย..สำรวมในหน้าที่แล้วหรือยัง ?
ศิษย์รักเอ๋ย..หล่อเลี้ยงพุทธจิตแล้วหรือยัง ?
ศิษย์รักเอ๋ย..จิตนอบน้อมบังเกิดแล้วหรือยัง ?
ศิษย์รักเอ๋ย..จิตเมตตาช่วยผู้อื่นมีแล้วหรือยัง ?”
“ศิษย์รักเอ๋ย..สำรวมในหน้าที่แล้วหรือยัง ?”
สิ่งเหล่านี้มีกันแล้วหรือยัง เราได้สำรวมในหน้าที่ของตนหรือไม่ หรือว่าเรานั้นไปก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น ไม่ว่าจะด้านกาย วาจา ใจ เราได้สำรวมกันแล้วหรือยัง รู้ถึงภาระหน้าที่ของตนว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่
“ศิษย์รักเอ๋ย..หล่อเลี้ยงพุทธจิตแล้วหรือยัง ?”
จิตของเราหล่อเลี้ยงด้วยอะไรล่ะ หล่อเลี้ยงด้วยเงินทองไหม (ไม่ใช่) ใช้อะไรมาหล่อเลี้ยงล่ะ (ธรรมะ) แน่ใจหรือไม่ว่า ศิษย์นั้นใช้ธรรมะมาหล่อเลี้ยงแล้ว แน่ใจไหม (กำลังหล่อเลี้ยงอยู่) อาจารย์ก็ตอบได้ว่ากำลังหล่อเลี้ยงอยู่ อาจารย์ก็กำลังหล่อเลี้ยงศิษย์อยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อหล่อเลี้ยงแล้ว จิตญาณของศิษย์นั้นจะตื่นเมื่อไหร่
“ศิษย์รักเอ๋ย..จิตนอบน้อมบังเกิดแล้วหรือยัง ?”
จิตที่นอบน้อมมีกันบ้างไหม (มี) แน่ใจหรือว่ามี จิตที่นอบน้อม นอบน้อมอย่างไรล่ะ จะแสดงออกมาอย่างไร ว่าจิตนอบน้อมของเราบังเกิดแล้ว จะแสดงด้วยวิธีไหนล่ะ เราต้องลงมือปฏิบัติและกระทำด้วยตัวของเราเอง เราจะปฏิบัติได้นอบน้อมเพียงใด ใครจะเป็นผู้ตัดสินล่ะ (ตัวเราเอง) ตัวเราเองไม่สามารถตัดสินได้ บุคคลภายนอกจะเป็นตัวตัดสินตัวเราเอง ใช่หรือไม่ บังเกิดแล้ว บังเกิดอยู่ในจิต ยังไม่ได้แสดงออกมาใช่หรือไม่
“ศิษย์รักเอ๋ย..จิตเมตตาช่วยผู้อื่นมีแล้วหรือยัง ?”
จิตเมตตามีกันทุกคนไหม จิตเมตตามีกันทุกคน ก่อนอื่นต้องเมตตาใครล่ะ (เมตตาตัวเอง) ยิ่งเมตตาตัวเองเท่าไรจะเป็นการดีไหม เรามีจิตเมตตากับคนรอบ ๆ ข้างบ้างไหม กับคนในครอบครัวของเรา เราเคยคิดที่จะช่วยหรือไม่ ต้องเริ่มจากภายในครอบครัวของเราก่อน เราทำอยู่คนเดียว คนในครอบครัวเราไม่เข้าใจเราเลย เป็นอย่างนั้นไหม เราต้องฉุดช่วยคนในครอบครัวของเราหรือไม่ (ช่วย) ช่วยอย่างไรล่ะ (ช่วยให้รู้ตื่น) ใช่ ช่วยให้รู้ตื่น โดยใช้หลักธรรม ไม่ใช่ช่วยโดยการใช้ทรัพย์สินเงินทอง เราเมตตาโดยการให้เขาใช้จ่ายอย่างสบาย แต่เราไม่ได้ให้อาหารทางใจกับเขาเลย ให้แต่อาหารทางกายเป็นอย่างนั้นไหม เช่นนี้เรามีความผิดบาปหรือไม่
แล้วศิษย์รักล่ะบังเกิดจิตนั้นแล้วหรือยัง บางคนก็บังเกิด บางคนก็ไม่บังเกิด อาจารย์จะปลุกอย่างไรล่ะปลุกอย่างไรก็ปลุกไม่ตื่นเพราะอะไรล่ะ (กิเลสหนา) ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละคน ใช่หรือไม่ อาจารย์มาแต่ละครั้ง มาแค่มากล่าวมาเตือนเราเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือจะต้องอาศัยตัวของศิษย์นั้นลงมือปฎิบัติด้วยตัวเอง สถานที่ได้อำนวยความสะดวกแก่เราไหม (อำนวย) แต่เราล่ะเคยแบ่งเวลาให้กับตัวเองบ้างหรือไม่ แบ่งเวลากันเป็นไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้อ่านเนื้อเพลงในกระดาน)
จิตธรรมเราห่างเหินจนเราลืมหน้าที่ของตนใช่หรือไม่ เพ้อไปในทางไหนล่ะ เพ้อไปในทางโลก เพ้อไปนานไหม ดังนั้นเราต้องรู้หน้าที่ของตน ว่าเรานั้นคือบุคลากร แม้ว่าบุคลากรจะมีหน้าที่ต่างฐานะกัน แต่เป้าหมายที่เราจะเดินคือนิพพานนั้นเหมือนกันไหม ที่เดียวกันไหม (ที่เดียวกัน) แต่อยู่ที่เราจะไปหรือไม่ นิพพานทุกคนไปได้ แต่อยู่ที่ว่าเรานั้นจะเลือกที่จะไปหรือไม่เท่านั้นเอง
ฉะนั้นในวันนี้เรามาในชั้นบุคลากรเราจะอยู่กับที่ที่นั้นที่เดียวหรือไม่เรา ดูอย่างกระแสน้ำ มันจะไหลไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม สถานที่แห่งใดที่มีน้ำขังเอ่อล้นอยู่ตลอดเวลา จะทำให้น้ำเน่าเหม็น เปรียบเสมือนกับเราในวันนี้ เราเป็นบุคลากรที่ยืนอยู่กับที่ไหม เราเคยตักน้ำที่อยู่กับที่นั้นออกมาแล้วหรือยังหรือเราคิดว่าน้ำที่อยู่นั้น มันดีอยู่แล้ว ภาระหน้าที่ที่เราทำอยู่ในปัจจุบันนั้นมันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องก้าวหน้า เคยที่จะเอาสิ่งใหม่ ๆ เติมเข้าไปให้กับมันหรือไม่ ที่เราทำอยู่นั้นมันดีอยู่แล้วเราไม่ต้องก้าวหน้าและไม่ต้องถอยหลังเป็น อย่างนั้นไหม คิดว่าน้ำที่อยู่ในนั้นมันมีกลิ่นหอมอยู่แล้วหรือหน้าที่ที่เราทำอยู่นั้น มันดีอยู่แล้ว เคยคิดเอาสิ่งดีๆ เข้ามาไหม อยากเติมไหม (อยากเติม) อยู่ที่ใครละ(ตัวเรา) ก็อยู่ที่ตัวของเราว่าจะเปลี่ยนน้ำนั้นอย่างไร กระแสน้ำ มันไหลไปเรื่อย ๆ มันจะมีน้ำที่ใหม่เข้ามาตลอด ส่วนน้ำที่อยู่กับที่ มันจะเน่าเหม็น เรานั้นจะเป็นแอ่งน้ำที่เน่าเหม็นหรือเป็นน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา (เป็นแม่น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา) เราจะต้องเป็นแม่น้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา เพื่อใครละ (เพื่อตัวเอง) เพื่อตัวของเราเองใช่ไหม ใครที่อยากเป็นแอ่งน้ำที่เน่าเหม็น ไม่มีความก้าวหน้าบ้าง ไม่มีใครอยากเป็นใช่หรือไม่
เราต้องระวังอารมณ์ของตัวเอง เพราะมันจะทำให้เราเป็นอยู่อย่างนั้นเข้าใจหรือไม่ เราก็ต้องระมัดระวังใจของเราเอง อย่าให้ใจของเราบูดแล้วก็เน่ายิ่งกว่าน้ำ เป็นหรือไม่(ไม่เป็น) ในขณะนี้ก็พูดได้ว่าไม่เป็น แต่พออยู่ไปนาน ๆ ไม่ใช่แค่เน่า แต่ส่งกลิ่นเหม็นเลย ส่งกลิ่นเหม็นแล้วอะไรเสียหาย (ตัวเราเอง) ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนน้ำที่ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา น้ำที่ไม่ดีเราต้องตักออก(ถ่ายเลือด)
ถ่ายเลือดอะไร เลือดที่ไม่ดีไหม (ใช่ค่ะ) ถ่ายเลือดที่ไม่ดีออกจากตัวเราไปบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องมองคนเดียว ทุก ๆ คนก็เหมือนกัน สิ่งที่ไม่ดีเอาออกไปดีไหม (ดี) เอาแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาใหม่
ฉะนั้นจะให้ชื่อเพลงอะไรละ (ภาระหน้าที่ทำแทนไม่ได้) ตัวเรามีภาระหน้าที่หรือไม่ (มี) ภาระหน้าที่ของเราคืออะไร (ถันจู่) อยู่กับที่ใช่หรือเปล่า จะเป็นแอ่งน้ำเน่าเหม็นนั้นไหม เมื่อไหร่จะเทออก (เร็วๆนี้) ให้คำมั่นสัญญาได้ไหมว่า เรานั้นจะรู้หน้าที่ของตน อาจารย์ก็ไม่สามารถช่วยได้อีก ถ้าหากว่าเราทำต่อไป ดังนั้นด้วยภาระหน้าที่ของเรา เราต้องรู้ตื่นด้วยตัวของเราเอง ถ้ายังอู้อยู่กับที่ก็แล้วไป จะให้ใครนั้นอ้อนอยู่กับที่ วอนอยู่กับที่ก็แล้วไป ถ้าไม่คิดที่จะก้าวออกจากตรงนั้น
ฉะนั้นเราเป็นบุคลากรจะต้องรู้ถึงภาระหน้าที่ของตัวเราเอง ไม่ใช่อาจารย์ชี้ครั้งหนึ่ง เราตื่นครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีอาจารย์เราทำยังไงละ เราจะต้องตื่นอยู่ตลอดเวลาและจะต้องรู้ถึงหน้าที่ของตัวเราเอง ดังนั้นจะให้เพลงนี้ชื่อว่าอะไรดี “ภาระหน้าที่ทำแทนไม่ได้” ภาระหน้าที่ของตนก็ต้องทำด้วยตัวของตน อย่าได้เกี่ยงกัน
กราบลา
องค์มารดาผู้เมตตา ขอให้ศิษย์รักจงระลึกถึงหน้าที่ของตนและเปลี่ยนแอ่งน้ำที่อยู่ในใจของตน
เป็นแอ่งน้ำที่ใหม่ กลับสู่ผิงซัน
No comments:
Post a Comment