1. วิถีแห่งจิต หรือ พุทธจิต ซึ่งมีโองการสวรรค์ที่อยู่กับมนุษย์ คือ จิต
จิต มี สองทาง คือ ทางตรง กับทางขวาง อันเป็นจิตใจที่หลงอยู่กับกิเลส จึงไม่สามารถกลับบ้านเดิมได้ ถ้าจะกลับบ้านเดิม ต้องพยายามบำเพ็ญจนจิตที่มีอยู่ใส ไม่มีกิเลสแล้วจึงจะกลับบ้านเดิมได้
วิถีทางแห่งจิต คือ เมื่อเราหลงมาอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว มามัวเมากับกิเลสจนหลงอยู่ในโลกนี้ การที่จะกลับสู่นิพพานบ้านเดิม จำเป็นที่จะต้องการบำเพ็ญให้จิตตัวจริงใสสะอาด ไม่มีกิเลส หรือ เพื่อให้จิตมนุษย์ ใสสะอาดเหมือนจิตญาณเดิมที่อยู่บนนิพพาน จะได้ไม่ยึดติดอยู่ในสังขาร อันเป็นตัวปลอม เนื่องจากเป็นร่างปลอม ถ้าจะบำเพ็ญ ก็ต้องเลี้ยงร่างปลอมนี้ให้อยู่ได้ ไม่กินมากไป ไม่กินน้อยไป กินให้พอดีอิ่ม จะได้มีกำลังบำเพ็ญให้จิตของเราใสสะอาด
ประโยชน์และโทษ
ใจธรรม จะเป็นใจที่คิดทำประโยชน์ให้แก่สังคม
ใจมนุษย์ เป็นใจที่หลงติดอยู่ในอัตตา ตัวตน ยึดติดอยู่ในวัตถุ แก่งแย่ง ชิงดี
ชิงเด่นกัน อิจฉาริษยากัน เหมือนปลาที่ตายแล้วต้องลอยตามน้ำ ไม่สามารถละกิเลสได้
2. วิถีทางแห่งจิตที่ได้รับการถ่ายทอดแล้ว มีพระวิสุทธิอาจารย์ หรือมีอาจารย์ถ่ายทอดธรรมที่มีโองการสวรรค์อยู่ มาถ่ายทอดวิถีแห่งจิต ด้วยการเปิดประตูญาณวิถีให้ เมื่อเปิดประตูญาณแล้ว จิตของเราจึงได้รู้สำนึกถึงความถูกผิด แล้วเร่งบำเพ็ญละกิเลสต่าง ๆ ให้หมดเพื่อที่จะได้สำเร็จในยุคขาวนี้
จิตตัวนี้ ถัาอยู่กับท้องฟ้า เป็นหลักสัจธรรมของฟ้า เมื่ออยุ่กับดิน ก็เป็นหลักสัจธรรมของดิน เมื่ออยู่กับมนุษย์ก็เป็นหลักสัจธรรมแห่งชีวิต ทำให้มนุษย์คิดว่าเราเป็นเจ้าของตัวเราเอง เป็นเจ้าของกายสังขาร ทำให้มีความเห็นว่า ตัวเรามีอายตนะหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส เป็นของของเรา เข้าใจว่า อายตนะหกนี้เป็นจิตของเรา ซึ่งไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้
ก่อนที่เราจะรับธรรมะ ตัวเรายังไม่ได้รับวิถีธรรมจากพระวิสุทธิอาจารย์ ตัวของเราก็เป็นเหมือนกับสวะที่ลอยตามน้ำ จิตของเราสัมผัสได้แต่โจรทั้งหก คืออายตนะหก ตัวเราจึงตกอยู่ในกระแสที่ถือว่าโจรทั้งหกเป็นจิตของเรา เราจึงตกอยู่ในกิเลสนั้น ทำให้เรามีความโกรธ มีความหลง มีความโลภ
เมื่อรับอนุตตรธรรมแล้ว พระวิสุทธิอาจารย์ได้มาชี้เปิดจุดที่สถิตของจิตวิญญาณให้ เราจึงได้รู้ที่อยู่ของพุทธจิตธรรมญาณ ที่มีมาแต่เดิมของเรา เมื่อรู้แล้ว
จึงจต้องตั้งใจบำเพ็ญ พยายามปลงให้ตก ทำจิตให้ว่าง เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทำให้ตัวเราเกิดความทุกข์ เกิดความเวทนา ในอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา (ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตน) สิ่งเหล่านี้เป็นอวิชชา ความไม่รู้ เมื่อรู้แล้วต้องพยายามละวาง ทำให้จิตของเราห่างจากกิเลสทั้งสามกอง
ในคัมภีร์ กล่าวว่า นิพพานอยู่ที่ตัวเรา หากเราหลงอยู่ในกิเลส ตายแล้วก็ต้องไปนรก ความจริง นิพพานกับนรก อยุ่ไม่ไกลจากตัวเรา ถ้าละได้ตายก็ไปนิพพาน ถ้าละไม่ได้ ตายก็ไปนรก ตามที่จิตของเราผูกพัน
จิตเดิมของเราเป็นดวงกลมใส เล็กมากที่สุด จิตของเราเมื่อเป็นเด็กจึงมีแต่ความเที่ยงตรง เมื่อเติบโตขึ้นมาจิตของเราได้สัมผัสกับ สิ่งต่าง ๆ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส แล้วเอามาร่วมกับอารมณ์ปรุงแต่งไปตามความนึกคิดของเราเอง ตัวเราจึงกลายเป็นปุถุชน ชอบทำอะไรตามใจของเราเอง เมื่อมารับธรรมะแล้ว ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเราที่หลงอยู่โดยมีจิตใจของเราเป็นตัวกำหนด ให้ หายไป มีแต่ความนึกคิดที่มองเห็นแต่สิ่งที่ดีจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา สิ่งใดที่ไม่ดี เห็นแล้วก็อย่าเอามาทำ ทำตามแต่สิ่งที่ดีงามตลอดเวลา บำเพ็ญไปนาน ๆ จิตของเราก็จะบรรลุสู่ความเป็นอริยพุทธะ
ในอดีตที่ผ่านมา การถ่ายทอดวิถีแห่งจิตมีการถ่ายทอดเฉพาะตัวต่อตัว ทำให้ไม่แพร่หลาย ปัจจุบันเป็นกาลแห่งท้ายกัป เป็นยุคขาวที่พระแม่องค์ธรรมประทานไว้ว่าจะช่วยให้เรากลับคืนสู่เบื้องบนได้ง่ายขึ้น การถ่ายทอดวิถีจิตนี้เป็นความลับของ
สวรรค์ ดังนั้น ในเวลาถ่ายทอดวิถีธรรม จึงไม่ควรถ่ายรูปไว้ เพราะเป็นความลับของสวรรค์ เมื่อถ่ายไว้แล้ว ผู้ที่ยะงไม่ได้รับวิถีธรรมเห็นแล้ว ก็เหมือนกับเราเปิดเผยความลับของสวรรค์
ความจริงโองการสวรรค์เดิมอยู่ที่กษัตริย์ เช่นในสมัยพระอริยะเจ้าพู่สี ต่อมา รุ่นลูกหลานทำตัวไม่ได้ หลงอยู่ในกิเลส โองการจึงตกไปอยู่กับปราชญ์ เช่น พระพุทธเจ้า ท่านเหลาจื๊อ ท่านขงจื๊อ แล้วต่อมาตกมาอยู่กับสามัญชน
คัมภีร์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่กระดาษ ดังนั้นการสวดมนต์โดยไม่รู้เรื่องเลย จึงไม่สามารถพาตัวเราไปสู่นิพพานได้ กานเผยแพร่วิถีธรรมแต่โบราณไม่ได้เผยแพร่ด้วยตัวอักษรเหมือนในปัจจุบัน เป็นการถ่ายทอดจากจิตสู่จิต ดังนั้นแม้ว่าตัวเราจะไม่รู้หนังสือเลย ก็สามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ ดังเช่น ท่านพระโะพธิธรรม ท่านเว่ยหล่าง ท่านลู่จงอี๋ ซึ่งเป็นผู้ที่มาจากความยากจน ไม่รู้จักหนังสือเลย อ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้
พระโพธิธรรมเดินทางจากอินเดียไปสู่ประเทศจีน ได้สอนธรรมให้แก่คนรุ่นหลัง ให้ทำตัวเป็นมหาบุรุษ คือ เป็นผู้ให้กับผู้ให้ การที่จะเป็นผู้ให้ได้ ผู้นั้นจะต้อง มีแต่คุณงามความดี นำเอาคุณธรรมไปสั่งสอนหรือทำตัวอย่างให้ผู้อื่นเห็นดีงามแล้วทำตาม
การบำเพ็ญพุทธจิต คือการบำเพ็ญสังขาร ต้องพยายามบำเพ็ญให้เป็นเส้นตรงอยู่ในวิถีแห่งธรรม ถ้าจิตของเรามีแต่ธรรมะ กายของเราก็เต็มไปด้วยคุณธรรม
เมื่อสิ้นกายสังขาร จิตของเราก็พลอยสิ้นจากอาสวะกิเลสด้วย เมื่อดับขันธ์แล้วจิตของเราก็มุ่งตรงไปสู่พระนิพพานตามที่หวังไว้
เมื่อเรามีความหวังที่จะไปนิพพาน ทุก ๆ ขณะจิตของเรา เราต้องพยายามบำเพ็ญละ ความโกรธ ความโลภ ความหลง พยายามสร้างบุญกุศลใช้หนี้เวรหนี้กรรม การทำบุญด้วยเงิน ด้วยกาย เป็นบุญ การบำเพ็ญใจให้ห่างจากความชั่วเป็นกุศล การพยายามมุ่งที่จะพาผู้อื่นมารับอนุตตรธรรม เป็นมหากุศลเพื่อนำมหากุศลนี้ไปใช้หนี้เวรกรรมที่สร้างมาแล้วแต่ในอดีต
เวลาเรากราบพระ มือที่เราประนมไว้จะต้องให้ปลายนิ้วหัวแม่มืออยู่ตรงจุดญาณทวาร ซึ่งเป็นที่สถิตของจิตญาณของตัวเรา ขณะนี้เราได้รับการเปิดประตูจิตญาณแล้ว ตรงประตูที่อยู่ของจิตญาณจะมีรูเล็ก ๆ อันเป็นทางเข้าออกของจิตญาณ เมื่อเรารู้ที่อยู่ของจิตญาณแล้ว ก็พยายามบำเพ็ญ โดยการหัดทำจิตให้เป็นสมาธิตรงจุดญาณทวาร แล้วท่องรหัสคาถาห้าคำเอาไว้ เมื่อฝึกหัดบ่อย ๆ จนเคยชินแล้ว เวลาที่เราป่วยไข้ เราก็ทำจิตให้เป็นสมาธิอยู่ที่ตรงจุดญาณทวาร เมื่อจะละกายสังขาร จิตของเราจะได้ออกทางตรงมุ่งสู่พระนิพพานได้เลย
No comments:
Post a Comment