Saturday

ธรรมะจริง สัจธรรมจริง พระโองการฟ้าจริง

จุดประสงค์




(1) เพื่อให้ทุกคนเข้าว่าธรรมะจริงคืออะไร สัจธรรมจริงคืออะไร พระโองการฟ้าจริงคืออะไร

(2) เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงว่าธรรมะที่ได้รับไปนั้นมิได้เป็นศาสนาหรือลัทธิอุบาทว์ และไม่ได้หลอกลวงเงินทอง

(3) เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าธรรมะที่ลงมาโปรดในครั้งนี้ลงมาเพื่อฉุดช่วยคนดี และลงมาตามพระบัญชาของฟ้าเบื้องบน

(4) เพื่อให้ทุกคนตื่นตัวที่จะบำเพ็ญธรรมะเพราะกาลเวลาของโลกคับขัน

(5) เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงภาระหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง

(6) เพื่อให้ทุกคนกระตือรือร้นอยากบำเพ็ญธรรม (ให้รู้ว่าในยุคอดีตจะต้องบำเพ็ญธรรมก่อน แล้วจึงได้รับธรรมะในภายหลัง แต่ในยุคได้รับธรรมะก่อน จึงต้องบำเพ็ญธรรม)



ประจักษ์หลักฐานบุญญาธิการธรรมะจริง หลักธรรมจริง พระโองการฟ้าจริง



ขอบคุณพระมหาการุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์ ด้วยบารมีธรรมของท่านธรรมอธิการ รองธรรมอธิการ ด้วยเมตตาธรรมของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม การส่งเสริมของอาจารย์บรรยายธรรมและการให้กำลังใจของนักธรรมอาวุโสทั้งหลายทุกท่าน ในวันนี้ผู้น้อยจึงได้มีโอกาสมาร่วมศึกษากับท่านทั้งหลายในหัวข้อ “ประจักษ์หลักฐานบุญญาธิการธรรมะจริง หลักธรรมจริง พระโองการฟ้าจริง”





เราทุกท่านคือผู้ที่โชคดีที่ได้มีโอกาสมารับรู้วิถีธรรม หนทางแห่งการหลุดพ้นนี้ คนที่มีบุญสัมพันธ์ได้รับวิถีธรรมจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เข้าใจถึงคุณวิเศษของธรรมะที่ตนได้รับและเข้าใจผิดไปว่าธรรมะนี้ก็ไม่ต่างไปกับโรงเจทั่วไป หรือเข้าใจผิดไปว่าการรับธรรมคือการมาขอศีล ขอพร ขอเลข ขอหวย หรือขอลูก ขอหลาน ไม่ก็เหมารวมว่าการรับธรรมก็คงไม่แตกต่างอะไรกับการไปกราบไหว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ หรือการทำบุญสะเดาะเคราะห์ตามเทวสถานต่าง ๆ ที่เคยทำมา (เพราะบางคนที่มารับธรรมะเพื่อนมักจะชวนว่าให้มาสะเดาะเคราะห์หรือเวลาอธิบายเงินทำบุญก็จะบอกว่าให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ชีวิตจะได้ดี) ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นความเข้าใจผิด (อธิบายความแตกต่างของการรับวิถีธรรมและการสะเดาะห์เคราะห์ ว่าการรับวิถีธรรมคือการรับรู้หนทางหลุดพ้นเป็นสำคัญ แต่การสะเดาะห์เคราะห์คือการปัดเป่าเคระห์ร้ายที่เกิดจากกรรมที่เราได้สร้างเอาไว้ ซึ่งก็จะดีได้ไม่นาน หรือดีได้เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น) จึงทำให้เราขาดความกระตือรือร้นในการบำเพ็ญธรรม และยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เมื่อได้มารับธรรมะ รู้ว่าธรรมะนี้ดี แต่ตนเองก็ยังเกิดความลังเลสงสัย เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เท่าที่ฟังดูถ้ามันเป็นจริง ก็จะดี แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่าจึงยังเกิดความเคลือบแฝงสงสัยในการที่จะบำเพ็ญธรรมตามที่ได้ฟัง ได้ศึกษา สงสัยว่าธรรมะเป็นลัทธิมาร ศาสนาอุบาทว์หรือมาหลอกลวงเงินทองหรือเปล่า และคิดเพียงว่าตนเป็นคนดีก็พอแล้ว จึงไม่สละเวลาออกมาศึกษาบำเพ็ญให้เข้าใจถึงธรรมะนี้ คนเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญสัมพันธ์ได้มารับวิถีธรรม และไม่มีบุญได้มาศึกษาธรรมะ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ขาดจิตศรัทธาและขาดความเชื่อมั่นในธรรมะนี้ว่า จะช่วยให้เราหลุดพ้นได้จริง ตัวเราเองนั้น ไม่บำเพ็ญก็ทุกข์อยู่แล้ว หากบำเพ็ญแล้วจะทุกข์มันจะเป็นอะไรไป เพราะผลของการที่เราตั้งใจบำเพ็ญนั้นมีค่ามหาศาลหลุดพ้นจากห่วงจองจำ ความทุกข์และกิเลสทั้งปวง มิใช่สิ่งที่เราทุกคนต้องการหรือ หรือทุกคนยังคิดว่าตนอยากจะเวียนว่ายอยู่เช่นนี้อีก อยากจะมีความทุกข์อยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้าฟังอย่างนี้แล้วเราทุกคนคงเลือกที่จะบำเพ็ญดีกว่าใช่ไหม แต่หากว่าเราบำเพ็ญอย่างงมงาย หลับหูหลับตาลบำเพ็ญ ไม่ได้ใช้ปัญญาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ประทานให้นี้ พิจารณาไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้รับฟังไปนั้น หรือเพื่อว่าอย่างไรเราก็ว่าตาม เพื่อนมา สถานธรรมเราก็มา แต่ถ้าเพื่อไม่มาเราก็ไม่มา เป็นอย่างนี้หรือเปล่า หรือถ้าไม่มีใครไปรับเรามา เราก็ไม่มาดอก ลำบากจะตาย อย่างนี้ก็น่าเสียดายที่แม้ว่าเราจะมาถูกทาง แต่เราไม่เข้าใจว่าทางที่เราเดินมานั้นจะเดินไปไหน แล้วทำไมเราถึงต้องมาเดินบนเส้นทางนี้ด้วย ใครจูงเราไปทางไหนเราก็ไป เท่ากับว่าเราบำเพ็ญอย่างงมงายแล้ว เพราะฉะนั้นที่คนอื่นเขาว่าเราว่าเราเป็นพวกงมงายก็คงไม่ผิด ที่ว่าไม่ผิดก็คือเราไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ คนอื่นว่าดีเราก็ว่าดี คนอื่นว่าไม่ดีเราก็พลอยเห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้บอกให้เราทุกคนเชื่อทุกคำที่พูด และไม่ได้บอกให้เราทุกคนเชื่อทุกอย่างที่เห็น แม้แต่คำพูดของพระพุทธะพระอริยะเจ้า หรือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรายังต้องพิจารณาไตร่ตรองให้ดีก่อน ดังนั้นเราจึงไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เราได้ยินหรือได้เห็นด้วยตาว่าจะต้องเป็นอย่างที่เราได้ยินได้เห็นเสมอไป ดังเช่นที่ท่านขงจื้อเห็นลูกศิษย์ของท่านแอบกินข้าวต้มก่อน ท่านจึงเรียกลูกศิษย์คนนั้นมาอบรม ภายหลังลูกศิษย์คนนี้จึงได้เล่าให้ฟังตนเห็นเศษผงตกลงไปในหม้อข้าวต้ม จึงตักออกแต่พอดีมีเม็ดข้าวติดขึ้นมาด้วย จะทิ้งก็เสียดาย จะใส่กลับลงไปก็ไม่แน่ใจว่ากินเข้าไปแล้วอาจารย์จะปลอดภัยหรือเป็นจะเป็นอะไรหรือเปล่าจึงตัดสินใจกินเข้าไปเอง เห็นไหมว่าบางครั้งสิ่งที่เราได้เห็นเองกับตาก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกต้องเสมอไป ธรรมะนี้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องการให้ทุกคนมาหลงงมงาย เข้าใจผิด ๆ ถูก ๆ แต่อยากให้ทุกคนได้เข้าใจถึงคุณวิเศษอย่างแท้จริง เข้าใจว่าที่ว่าธรรมะจริงนั้น จริงอย่างไร เป็นหลักสัจธรรมแท้จริงจริงอย่างไร และที่ว่ามีพระโองการฟ้าประกาศิตที่แท้จริงนั้นจริงอย่างไร





เป็นธรรมะจริง จึงจะสามารถหลุดพ้นกลับคืนสู่ต้นเดิมได้





อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเปิดจุด ถ่ายทอดไตรรัตน์ เราสามารถรู้แจ้งได้ทันที สิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดคือ





จุดญาณทวาร, รหัสคาถา และลัญจกร จุดญาณทวารนั้นเป็นประตูหนทางที่พระวิสุทธิอาจารย์มาชี้เปิดประตูให้เราทราบถึงจิตเดิมแท้ และที่สถิตของพุทธจิตธรรมญาณ ซึ่งทุก ๆ คนนั้นมีอยู่ เพียงแต่ว่าก่อนที่เราทุกคนจะรับธรรมเรายังไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง เพราะว่าเราหลงทางมาเป็นเวลานานจึงลืมจุดญาณทวารตรงนี้ไป จุดญาณทวารเป็นประตูทางตรงที่เปิดแล้วสามารถกลับคืนสู่ต้นกำเนิดเดิมได้ ซึ่งในอดีตจะต้องบำเพ็ญจนมรรคผลถึงพร้อมจึงจะได้รับการประทานหนทางจากพระวิสุทธิอาจารย์ แต่ปัจจุบันนับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่เบื้องบนได้โปรดเมตตาประทานหนทางธรรมะแท้ให้เราได้มีโอกาสพบก่อนแล้วจึงค่อยบำเพ็ญทีหลัง โดยประจักษ์หลักฐานของอนุตตรธรรมนี้มีให้เราเห็นมากมายในวงการอนุตตรธรรม

เป็นธรรมะที่แท้จริง





(1) เพราะเป็นธรรมะจริงหลังจากรับธรรมะแล้วจึงสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยความเคยชินที่ไม่ดีของตนเองได้ง่ายก่อนที่เราจะรับธรรมะเรามีชีวิตอยู่แบบไร้จุดหมาย มีชีวิตแบบตามกระแสสังคมทั่วไป ไม่มีจุดหมายที่แท้จริงของชีวิต สิ่งใดที่สังคมว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดเราจะพยายามขวนขวายให้ได้มาทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายไม่มีอะไรที่เราจะเอาไปได้เลยสักอย่าง ซึ่งการที่เราจะต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่ถูกสังคมบีบบังคับนั้นจึงนำมาซึ่งทุกข์ทั้งหลาย เพราะเราต้องแข่งขัน ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่เราก็ต้องทำดังนั้นทุก ๆ วันเราจึงจมอยู่กับความทุกข์ และในบางครั้งหลายต่อหลายคนก็ทำสิ่งที่ไม่ดี เพื่อความสะใจหรือเพื่อประชดชีวิตอยู่บ่อย ๆ แต่เดิมเราใช้กายเป็นตัวสั่งมิได้ใช้จิตเป็นตัวสั่งปล่อยกายเป็นนาย จิตเป็นบ่าว ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบำรุงบำเรอกายสังขารสนองความต้องการของกายสังขารตัวนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าภายในกายตัวนี้จริง ๆ แล้วมีจิตเป็นนายที่แท้จริงที่ถูกกักขังอยู่ที่ทาสของกาย แต่เมื่อเราได้มีโอกาสมารับธรรมะ เรารับการเปิดประตูปัญญารู้ถึงจิตเดิมแท้ว่ามีอยู่ในกายสังขารนี้ ปัญญาของเราค่อย ๆ สว่างเราเริ่มเข้าใจถึงชีวิตของเรา เราได้เข้าใจว่าเหตุใดเราจึงต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ทำกรรมอะไรจะไปเกิดเป็นสัตว์อะไร ซึ่งจริง ๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชาวพุทธก็เคยได้ศึกษากันมากต่อมาก แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะยังไม่ได้รู้ถึงแก่นแท้ ยังไม่รู้ถึงจิตเดิมแท้ตรงนี้ เพราะฉะนั้นหลาย ๆ คนที่เมื่อได้รับการเปิดจุดตรงนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยความเคยชินที่ดีของตนเองได้ เช่นสามารถเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ หรือเลิกเสพยาได้ (ยกตัวอย่างคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้) หรือคนที่สามารถเลิกทานเนื้อสัตว์ได้ (ตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต) จะมีใครบ้างที่ก่อนรับธรรมะก็มีความตั้งใจที่เลิกเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อสัตว์ น้อยมากทีเดียวที่จะมีคนแบบนี้ แล้วจะมีสักคนที่เมื่อได้รับธรรมแล้วเชื่อมั่นว่าตนเองจะสามารถเลิกเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อของผู้อื่นได้ในทันที ไม่มี จนเมื่อได้มาศึกษาธรรมะ บำเพ็ญธรรมะจิตเดิมแท้ เริ่มปรากฏโฉมหน้าแห่งเมตตาธรรมที่มีมาแต่เดิม จึงสามารถเลิกการทานเนื้อสัตว์ได้อย่างแท้จริง (ยกตัวอย่างญาติธรรมที่ตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต) นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาธรรมะต่าง ๆ ได้เข้าใจง่ายและเร็วยิ่งขึ้นกว่าก่อนที่จะรีบธรรมะ





(2) เพราะเป็นธรรมะจริงหลังจากที่เรารับธรรมะแล้วเคราะห์ร้ายอะไรที่มันหนักจะกลายเป็นเบาจากเบาก็จะเป็นหายไปเลย และรอดพ้นจากเคราะห์ร้ายภัยพิบัติทั้งหลายได้ (ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของอาจารย์สะอิ้ง, ญาติธรรมที่ป่วยหนักแต่สามารถหายได้และได้มาบอกกล่าวเรื่องราวที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย) เพราะครั้งนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนสนองรับบัญชาจากพระแม่องค์ธรรมให้ลงมาช่วยงานโปรดสามโลก ให้ลงมาช่วยเหล่าสาธุชนคนบุญทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงได้เมตตาช่วยเหลือผู้บำเพ็ญธรรมให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีกายสังขารมาช่วยงานธรรมะของฟ้าเบื้องบนต่อไป เพราะฟ้าไม่มีปากพูด

ดินไม่มีปากพูดจำเป็นต้องอาศัยกายสังขารของคนมาพูดธรรมะ ดังนั้นผู้ที่ตั้งใจช่วยงานของฟ้าเบื้องบน จึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือคุ้มครอง





(3) เพราะเป็นธรรมะจริงผู้ที่รับธรรมะแล้ว บำเพ็ญธรรมหลังจากที่เราทิ้งกายสังขารแล้วจึงสามารถกลับคืนขึ้นสู่แดนนิพพานบ้านเดิมได้ ประจักษ์หลักฐานคือตายแล้วตัวอ่อนนิ่ม และมีการอัญเชิญดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วกลับมาผูกบุญสัมพันธ์ (ยกตัวอย่างการอัญเชิญจิตญาณของอาวุโสที่ล่วงลับไปแล้วลงมาผูกบุญสัมพันธ์อย่างไรบ้าง)



เป็นหลักสัจธรรมจริง จึงตรงต่อฟ้า ตรงต่อคน และตรงต่อดิน





ธรรมะคือธรรมชาติ คือความกลมกลืน ธรรมะเป็นสิ่งที่สุขุมคัมภีรภาพ เข้าได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ทำร้ายใคร เข้าได้กับทุกชนชั้น สิ่งใดที่ขัดต่อธรรมชาติสิ่งนั้นต้องถูกทำลาย หรือเสื่อมสลายไปในที่สุด เช่น เด็กที่เกิดมาผิดปกติก็อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย , ต้นไม้ที่เกิดมาผิดปกติไม่นานก็ต้องตายไป ฯลฯ





ธรรมะของฟ้าเรียกว่าหลักสัจธรรมของฟ้า ซึ่งฟ้าเที่ยงตรงไม่มีลำเอียง เสมอต้นเสมอปลาย เสมอภาคกันหมด เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกอยู่เป็นเช่นนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีตามใจของตนเอง วันไหนพระอาทิตย์ขี้เกียจก็ไม่ขึ้นอย่างนี้มีไหม หรือวันไหนเบื่อ ๆ ก็เปลี่ยนไปขึ้นทางทิศใต้ ตกทางทิศเหนือมีหรือเปล่า แล้วไม่ชอบใคร ก็ไม่ส่องแสงให้คนนั้นมีหรือเปล่า





ธรรมะของดินเรียกว่าสัจธรรมของดิน ซึ่งก็เป็นหลักเดียวกันกับฟ้า เที่ยงตรง ไม่ลำเอียง เสมอต้นเสมอปลาย และเสมอภาคกันหมด ดังเช่นเราปลูกอะไรก็ได้เช่นนั้นใช่หรือเปล่า ปลูกถั่วก็ได้ถั่ว ปลูกแตงก็ได้แตง ไม่มีผิดเพี้ยนไปเป็นปลูกถั่วได้แตง หรือปลูกแตงได้ถั่ว ใช่หรือเปล่า และไม่มีว่าถ้าคนไม่ดีปลูกจะไม่ยอมขึ้น คนดีปลูกจึงจะยอมขึ้นใช่หรือเปล่า





ธรรมะในตัวของคนเรียกว่าหลักคุณธรรม ซึ่งก็เป็นหลักเดียวกันกับฟ้าดินเช่นกัน แต่เพราะจิตคนที่เปลี่ยนแปลงไป คุณธรรมทั้งหลายที่ควรมีอยู่ค่อย ๆ หายไป (คุณธรรม 5 อย่าง (1) เมตตาธรรม (2) มโนธรรม (3) จริยธรรม (4) ปัญญาธรรม (5) สัตยธรรม) ดังนั้นดังที่บอกแล้วว่าอะไรที่ขัดต่อหลักธรรมชาติสิ่งนั้นจะค่อย ๆ ถูกทำลายไป เสื่อมสลายไป ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าคนปัจจุบันนี้อายุสั้นกว่าคนในอดีต และตายเร็วกว่าคนในสมัยก่อนมาก)





แม้ว่าเราไม่สามารถมองเห็นธรรมะ แต่เราสามารถสัมผัสและรับรู้ถึงธรรมะได้ เช่น ความกตัญญูหน้าตาเป็นอย่างไร เราเคยเห็นหน้าตาของความกตัญญูไหม ความเมตตาเป็นอย่างไรเราเคยเห็นหน้าตาของความเมตตาไหม เราไม่เห็นแต่เราสามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยใจ และเราทั้งหลายก็ชอบคนที่อกตัญญูหรือชอบคนที่กตัญญู หรือเราทั้งหลายชอบคนที่ไม่มีน้ำใจ จิตใจคับแคบหรือชอบคนที่มีจิตเมตตา เราทั้งหลายล้วนแต่ชอบคนที่กตัญญูและมีจิตเมตตาใช่ไหม สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็คือเราชอบตามธรรมชาติในใจของเราเอง เราทั้งหลายล้วนแต่ชอบสิ่งเหล่านี้ แต่เราทั้งหลายกลับไม่สามารถทำได้เพราะเราปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำจิตใจของเรานั่นเอง เรายอมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พี่น้องคลานตามกันมาก็สามารถทำร้ายได้เพื่อสมบัติ นั่นคือ เรากำลังขัดต่อหลักคุณธรรมในตัวของเราเอง





แต่อนุตตรธรรมที่เราทั้งหลายได้รับไปนั้น เป็นหลักสัจธรรมที่แท้จริงเพราะไม่ขัดต่อหลักของฟ้า คนและดิน กลมกลืนเป็นอย่างเดียวกันกับคำสอนของศาสนาทั้ง 5 (เต๋า, ปราชญ์ ,พุทธ, คริสต์, อิสลาม) ซึ่งศาสนาทั้ง 5 นั้นก็สอนเป็นแนวทางเดียวกัน เพราะศาสดาของศาสนาทั้ง 5 นั้นก็สำเร็จธรรมอย่างเดียวกัน มิใช่สำเร็จศาสนาใช่หรือเปล่า เพราะศาสนาเกิดขึ้นหลังจากที่ศาสดานั้นสำเร็จกลับคืนขึ้นไปแล้ว (ศาสนาพุทธเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าสำเร็จกลับคืนไปแล้วประมาณ 1 ปี) อนุตตรธรรมสอนให้เราทั้งหลายเรียกธรรมะในตนเองให้ปรากฏออกมา ให้เรารู้จักการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง โดยมีพุทธะระเบียบเป็นเหมือนกับรางรถไฟให้เราวิ่งไปให้ถูกทิศทาง มีจุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรมเป็นจุดมุ่งหมายแห่งการเดินทางนี้ และมีหลักธรรมคำสอนต่าง ๆ เป็นเป็นตัวควบคุมรถไฟนี้ให้เดินไปอย่างราบรื่น ไม่ขัดขืนนั่นเอง



มีพระโองการสวรรค์ที่แท้จริง





พระโองการสวรรค์ที่พระแม่องค์ธรรมทรงมีพระบัญชาก็เปรียบเสมือนคำสั่งขององค์ฮ่องเต้หรือพระราชดำริขององค์พระมหากษัตริย์นั่นเอง ในยุคนี้พระแม่องค์ธรรมก็ได้มีพระโองการสวรรค์ให้พระศรีอาริย์ปกครองธรรมจักรวาลสามโลก พระพุทธจี้กงและพระโพธิสัตว์ จันทรปัญญา รับงานเผยแผ่ธรรม ร่วมกันเก็บงานในขั้นสุดท้าย กอบกู้สามโลก (เทวโลก มนุษย์โลก และนรก) คืนสู่พุทธภูมิ ช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากวายุ อัคคีภัย รวบรวมศาสน์ทั้งหลาย ให้คืนสู่หลักธรรมเดียวกัน ชุมนุมลัทธิศาสนาทุกนิกาย บรรจบพบกันในการประชุมใหญ่ปลายกัปสาม (งานประหลงฮวา) ให้เหล่าทวยเทพทั้งปวงระดมกัน ลงมาช่วยโลกมนุษย์ในลักษณะต่าง ๆ กัน พระโองการสวรรค์พระแม่องค์ธรรมพูดก่อน ประจักษ์ทีหลัง ดังนั้นประจักษ์หลักฐานว่าอนุตตรธรรมมีพระโองการสวรรค์ที่แท้จริงคือ





(1) เพราะอนุตตรธรรมมีพระโองการสวรรค์ที่แท้จริงจึงสามารถสืบทอดต่อมาได้ยาวนานและเจริญรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว ตามปกติถ้าหมอที่จบจากนอมารักษาคนไข้คนแรกก็ตาย คนที่สองก็ตาย คนที่สามก็ตาย ถามว่าเราได้ยินอย่างนี้เรากล้าไปรักษาไหม แต่ถ้าหมอไม่มีชื่อแต่รักษาคนแรกก็หาย คนที่สองก็หาย คนที่สามก็หายอย่างนี้ไม่ต้องไปเที่ยวประกาศก็มีคนมาหากันทั่วใช่ไหม เช่นกันธรรมะนี้หากคนมารับแล้วก็ไม่มีอะไรดีรับแล้วก็เหมือนเดิมที่พูดมาก็ไม่จริง บางอย่างพูดแล้วก็เหลือเชื่อ แล้วใครจะอยากมารับ ถ้าตายแล้วตัวไม่นิ่มจริงอย่างที่ว่าใครจะกล้ามารับ ธรรมะเผยแผ่ที่ประเทศไต้หวันตั้งแต่ไต้หวันยังเป็นเกาะที่ไม่มีอะไรเลยตอนปี พ.ศ. 2491 พระอาจาริณีผู้สืบทอดต่อพระโองการสวรรค์จากพระธรรมาจารย์ได้บอกให้ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยินไปบุกเบิกแพร่ธรรมที่นั่น ตัวของท่านหันเหล่าเฉียน เหยินก็ไม่ยินดีที่จะไปซักเท่าไหร่ เพราะท่านรู้อยู่ว่าที่เกาะไต้หวัน (หรือเกาะโฟโมซาเก่า) มีแต่คนป่าอยู่แล้วก็ยังล้าหลังอยู่เป็นอันมาก แต่พระธรรมาจาริณีก็เหมือนรู้ใจของท่านหันเหล่าเฉียนเหยินจึงพูดให้กำลังใจว่า “พวกเจ้าจงมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ (คือเกาะไต้หวัน) เถิด ในเวลา 10 ปี แม้จะต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ขอเพียงพวกเจ้ามีจิตใจที่เข้มแข็งอดทนต่อความทุกข์ยากนั้น ในวันข้างหน้างานธรรมก็จะเจริญรุ่งเรือง ถ้าหาก 10 ปีให้หลังแล้ว ยังไม่สามารถบุกเบิกธรรมไดอ้ย่างกว้างขวาง ก็จงกลับมาพบเรา เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเราไม่มีผล” แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เราจะเห็นได้ว่าที่ประเทศไต้หวันนั้นจากที่เคยล้าหลังกว่าไทยมาก ขณะนี้เขากลายเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้ากว่าประเทศไทยเป็นอย่างมาก แล้วธรรมะที่ประเทศไต้หวันก็เฟื่องฟูมากทีเดียว ที่มณฑลโตว่ลิ่วมีคนรับธรรมะถึง 90กว่าเปอร์เซ็นต์ทีเดียว และรัฐบาลไต้หวันก็ให้การยอมรับในอนุตตรธรรม ว่ามีบทบาทในการช่วยอุ้มชูสังคมในประเทศไต้หวัน (ยกตัวอย่าง) จนธรรมะมาถึงเมืองไทยเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อน ก็สามารถรุ่งเรืองได้จนถึงปัจจุบันนี้สืบทอดต่อไม่มีขาดสาย





(2) เพราะอนุตตรธรรมมีพระโองการสวรรค์ที่แท้จริง วิญญาณบรรพบุรุษเจ็ดชั้นลูกหลานอีกเก้าชั้นจึงได้มีโอกาสได้รับประทานนิรโทษกรรมไม่ต้องไม่ทนทุกข์ทรมานในนรก ได้รับดอกบัวหนึ่งดอกไปนั่งฟังธรรมะได้ ซึ่งก็ได้ผู้ที่เคยได้เห็นเหตุการณ์ที่วิญญาณบรรพบุรุษของผู้ที่รับธรรมะแล้วได้รับการประทานนิรโทษกรรม (ยกตัวอย่างในหนังสือหลงเทียนเปี่ยวประกอบ)





(3) เพราะอนุตตรธรรมมีพระโองการสวรรค์ที่แท้จริง ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจึงได้ร่วมกันช่วยงาน โดยลงมาเมตตาประทานพระโอวาทที่ลึกซึ้งแยบยล เข้าใจตรงต่อจิตเดิมแท้ของเรา (ยกตัวอย่างพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประกอบ)





(4) เพราะอนุตตรธรรมมีพระโองการสวรรค์ที่แท้จริง ดังนั้นผู้ที่จะได้กลับคืนสู่เบื้องบน จึงต้องมีการทดสอบจากพญามารทั้งหลาย เพื่อค้นหาผู้ที่เป็นพุทธบุตรคนเดิมอย่างแท้จริง เมื่อยิ่งมีความมุ่งมั่นยิ่งเจอการทดสอบหลายอย่าง(ยกตัวอย่าง เช่น คนกินเจ, คนที่จะมาสถานธรรมแล้วมีอุปสรรค ฯลฯ)





ของแท้สามารถพิสูจน์ได้ ของปลอมต่อให้ตบตาอย่างไร ให้หลอกให้แสดงยังไงก็เป็นของปลอมอยู่วันยังค่ำ ไม่สามารถหลอกได้ยาวนานหรือหลอกได้ตลอดไป เช่นกันธรรมะแท้ย่อมพิสูจน์ได้ เพียงแต่กลัวว่าเราทั้งหลายจะไม่กล้าพิสูจน์ เวลาเป็นสิ่งมีค่า หากวันนี้เราได้รู้ถึงคุณวิเศษของธรรมะ แล้วเรายังปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไม่รีบเร่งบำเพ็ญอย่างนี้น่าเสียดายมาก เพราะเราไม่สามารถที่เรียกเอาเวลาย้อนกลับคืนมาได้อีก ธรรมะหากพระแม่องค์ธรรมมีพระโองการสวรรค์เรียกเก็บกลับคืนไปแล้ว ต่อให้มีเตี่ยนฉวนซืออยู่ก็ไม่อาจที่จะทำการถ่ายทอดต่อได้ ดังนั้นอย่าให้เสียทีที่เป็นผู้โชคดีที่มาทันเวลาพอดีกับยุคการโปรดสามโลกนี้





ในวันนี้ก็ขอให้เวลาของทุกท่านแต่เพียงเท่านี้ หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดตกบกพร่อง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดประทานอภัย นักธรรมอาวุโสทั้งหลายทุกท่านได้โปรดชี้แนะด้วย ขอบคุณ

No comments:

Post a Comment