คุณประโยชน์ของการรับวีธรรม
ที่ทุกวันนี้เราทุกคนได้รับวิถีธรรม เรียกได้ว่ามีความโชคดีทั้งสามสมัย
(อดีตสมัย ปัจจุบันสมัย อนาคตสมัย)
ทั้งนี้เป็นเพราะบรรพบุรุษได้สั่งสมคุณบารมี ประกอบกับมีพุทธสัมพันธ์อันลึกซึ้งซึ่งแตกต่างจากผู้บำเพ็ญในอดีตกาล ที่จะต้องออกจากครอบครัว ละทิ้งการงานเข้าสู่ถ้ำลึกจาริกตามป่าเขา บำเพ็ญทุกรกิริยาจนถึงพร้อมซึ่ง 3,000 บุญ 800 ผล
อีกทั้งต้องเดินทางพันลี้เพื่อแสวงหา พระวิสุทธิอาจารย์เดินทางหมื่นลี้เพื่อแสวงหาสัจคาถา และหากโชคดีได้พบพานกับพระวิสุทธิอาจารย์ผู้รู้แจ้ง จีงได้มีโอกาสได้สดับรับวิถีธรรมดังคำที่กล่าวว่า "ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกกร่อนก็ไม่อาจพบ"
แต่ปัจจุบันขอเพียงมีผู้ แนะนำ-รับรองฉุดช่วยนำพาเราก็สามารถกราบขอรับวิถีธรรมได้อย่างง่ายดายอย่างที่เรียกว่า"ได้รับโดยไม่ต้องลงแรง"
เพราะเหตุใดการรับวิถีธรรมในอดีตและปัจจุบันจึงมีความยากง่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับดินนั่นเป็นเพราะฟ้ามีกาลเวลาของฟ้า วิถีธรรมก็มีเกณฑ์วาระการโปรดของวิถีธรรม
การที่ฟ้าเบื้องบน ประทานวิถีอนุตตรธรรมลงโปรดในปัจจุบันก็เพราะ เป็นการสนองกาลเวลา และเกณฑ์วาระที่ได้ดำเนินมาถึงปลายยุคพระสัทธรรมหรือยุคสามปลายกัป ซึ่งเป็นกลียุค ที่มนุษย์มีสภาพจิตใจตกต่ำไม่หมือนเดิม
คุณธรรมแบบแผนอันดีงามของโลกที่เคยมีได้เสื่อมทรามรวมถึงการกระทำที่เลวทรามชั่วช้าต่าง ๆ นานา
ที่มนุษย์ก่อขึ้นนี้ได้กลายเป็นไอแห่งความชั่วร้ายที่พวยพุ่งสู่เบื้องบนอันนำมาซึ่งมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคย ปรากฏมาก่อน
ฟ้าเบื้องบนยังทรงคุณธรรมในการให้กำเนิดสรรพสัตว์จีงไม่อาจทนเห็น "คนดี - คนชั่ว" ซึ่งเปรียบเสมือน "หยก-หิน"ถูกทำลายไปพร้อมกัน
ดังนั้น จึงได้มีเมตตาการุณย์ประทานธรรมแท้ ลงมาให้เหล่าพุทธบุตรได้ฟื้นฟูพุทธจิตและได้เห็นทางสว่างกลับคืนเบื้องบน
บุตรหนึ่งคนได้รับธรรม
บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคน
ได้รับรัศมีธรรมปกแผ่ถ้วนทั่ว
บุตรหนึ่งคนได้สำเร็จธรรม
บรรพชนเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคน
ได้รับการฉุดช่วยถ้วนทั่ว
คุณประโยชน์ของการรับวิถีธรรม
1. ละความชั่วใฝ่ความดี
ระดับของสภาพจิต สามรถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1.1 ใจธรรม = ใจเมตตา บริสุทธิ์ ไร้ความชั่ว
1.2 ใจมนุษย์ = ใจที่มีทั้งความดี ชั่วคละปนกันไป
1.3 ใจเนื้อ = ใจแห่งมิจฉา ราคะ ฉ้อฉล ใจที่มีแต่ความชั่วร้าย
จิตทั้ง 3 ระดับ นี้มาจากสภาวะจิตเดียวกัน เป็นความแปรปรวนที่สืบเนื่องมากจาก เอกจิต นั่นเองสภาพจิตสามารถเป็นได้ทั้งสวรรค์ และนรกการรับวิถีธรรมจะเป็นการฟื้นฟูใจเดิมที่หายไป
ใจธรรมแต่ดั้งเดิม(จิตเดิมแท้) นี้มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแต่การที่เราอยู่ในโลกโลกีย์ทำให้เกิดอุปาทานในวัตถุ ตัณหาต่าง ๆ มากมายเป็นเหตุให้หลงผิด คิดว่าใจมนุษย์เป็นใจเดิมของเรา
ฉะนั้น การรับวิถีธรรมจึงเป็นการเรียกใจเดิมกลับคืนมา เพื่อกำกับใจอันตราย ไม่อิงอาศัยใจมนุษย์และใจเนื้อมากระทำการเช่นนี้ก็ช่วยละความชั่วใฝ่ความดีไปเองโดยปริยาย
ใจมีอกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ (โลภ โกรธ หลง)
ซึ่งเป็นมูลแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงถ้าสามารถกำจัดจิตแห่งอกุศลมูลทั้ง 3 นี้ไป ก็เท่ากับเป็นการละความชั่วใฝ่ความดีเช่นกัน
ความวิสุทธิ์ ความเมตตากรุณา และปัญญาญาณมีความสัมพันธ์กับความโลภโกรธหลงได้อย่างไร?
พระอาจารย์จี้กงได้อาศัยมือของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความวิสุทธิ์
เมตตากรุณา ปัญญาญาณ ลงที่จุดญาณทวารของเราและปัญญาญาณที่ได้ปลูกลงไปก็แตกหน่อ งอกงาม ผลิดอก และออกผล
ความวิสุทธิ์ ญาติธรรมหลายท่านที่หลังจากได้รับธรรมแล้วเริ่มตีตัวออกห่างจาก สุรา นารี ไม่หลงไปตามวัตถุตัณหา อารมณ์นิสัยต่าง ๆ ที่ไม่ดีก็ขจัดไปใฝ่ความดี แก้ไขข้อบกพร่อง
ทั้งนี้ล้วนเป็นเพราะธรรมานุภาพแห่งคุณวิเศษจากหนึ่งจุดชี้ของพระวิสุทธิอาจารย์ทั้งสิ้นเพราะการที่ได้ฟื้นฟูจิตเดิมอันวิสุทธิ์นี้ ทำให้ไม่เกิดความโลภในวัตถุตัณหาภายนอก
ความเมตตา เหตุใดมีญาติธรรมมากมายที่ได้รับธรรมและได้ศึกษาธรรมแล้วคิดจะฉุดช่วยนำพาคนมารับธรรม โดยไม่มีใครบอกกล่าวเลยคิดจะกอบกู้เวไนยหันมาทานเจละเว้นจากการผูกหนี้สร้างเวรกับสัตว์ โดยไม่มีใครบังคับเขาเหล่านั้นเลย
และนี่ก็เป็นคุณวิเศษของหนึ่งจุดชี้ของพระวิสุทธิอาจารย์ หากมิใช่วิถีธรรมจริง หลักธรรมจริง และโองการสวรรค์จริง ใครเล่าจะสามารถทำให้คนมากมายเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วถึงเพียงนี้
เพราะจิตเมตตาที่ได้บังเกิดจึงเกิดความสงสาร ทำให้อะไรก็คิดถึงสถานะของผู้อื่นตลอดเวลา มีจิตใจกว้างขวาง โอบอ้อมอารี โทสะ ความโกรธก็หามีอยู่ในจิตใจของเขาเหล่านั้นไม่
ปัญญาญาณ ก่อนเราจะรับธรรมเราทุกคนได้เห็น "ปลอมเป็นจริง เห็นผิดเป็นถูก"เข้าข่ายแห่งอกุศลมูลข้อ 3 คือ โมหะ หลง แต่เมื่อหลังจากเรารับธรรมแล้ว
ปัญญาณของเรากำลังงอกงามเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ เราได้อาศัย "สุชญาณ"ซึ่งเป็นปัญญาเดิมแท้อันประเสริฐมาแยกแยะถูกผิดชั่วดีการกระทำผิดบาปก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็หมายถึง ละความชั่วใฝ่ความดีนั่นเอง
บางท่านอาจคิดว่า รับธรรมแล้ว ก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงใด ๆเกิดขึ้นเลย ที่เป็นเช่นนั้น เพราะฐานบุญเดิม ภูมิธรรม พุทธสัมพันธ์และวิบากกรรมของคนเราต่างกัน จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงช้าและเร็วไม่เหมือนกันในแต่ละบุคคล
มีคำกล่าวว่า "มนุษย์มี 3 ไม่รู้" คือ
ข้อหนึ่ง ไม่รู้อดีตและอนาคต ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปที่ใด
ข้อสอง ไม่รู้เหล่ามวลเวไนยล้วนมี พุทธจิตธรรมญาณ ไม่รู้ว่าเดิมที เราก็คือ "พุทธะ"
ข้อสาม ไม่รู้ว่าสวรรค์ และนรกมีจริง
ทั้งนี้ ก็เพราะมนุษย์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในอวิชชา (ความไม่รู้) ไม่กระจ่างแจ้งในหลักธรรมจึงไม่เกิดความเชื่อในวัฏจักรแห่ง เหตุต้นผลกรรม
หลังจากรับธรรมได้เข้าร่วมชั้นประชุมต่าง ๆ ที่นักธรรมอาวุโสจัดขึ้นได้ฟังการอรรถาธิบายมากมาย จนเกิดความเชื่อมั่นว่า สวรรค์นรกมีจริงมีเหตุต้นผลกรรมแห่งการเวียนว่าย ทำให้เราไม่ก่อบาปสร้างเวรทำให้ละความชั่วใฝ่ความดีโดยปริยาย
คุณประโยชน์ของการรับธรรม
ข้อที่ 2. สามารถลบล้างหนี้เวรกรรม แปรเปลี่ยนเคราะห์ร้ายกลายเป็นดี
หนี้เวรกรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของมนุษย์เองบางท่านคิดว่าไม่เคยทำชั่วไม่เคยเกี่ยวกรรมอะไรกับใครเลย ไฉนจะมีหนี้เวรหนี้กรรมเกิดขึ้นอีกแต่ทว่าเราได้เวียนว่ายมา 6 หมื่นกว่าปี เกิดๆ ตาย ๆ มาแล้วหลายภพชาติวิบากรรมตั้งแต่อดีตชาติที่เราเคยสร้าง และสั่งสมมานั้นไม่มีที่สิ้นสุด
ถึงแม้ว่าเราจะมีวิบากกรรมมากมายที่ติดตัวมาแต่อดีตชาติแต่วันนี้เราได้รับวิถีธรรม ได้พบจิตเดิมแท้ในตัวเอง ได้อิงใจธรรมในการดำเนินชีวิต ได้อยู่เหนือในมนุษย์และใจเนื้อ ได้ดำรงตนตามหลักครรลองแห่งฟ้า ได้เชื่อในเหตุต้น ผลกรรม และไม่ก่อบาปสร้างเวรอีกต่อไป
เราสามารถสร้างบุญสร้างกุศลบำเพ็ญทั้งภายนอกและภายใน และปฏิบัติงานธรรม ให้ทานทั้ง 3 คือ
- ทรัพย์เป็นทาน เช่น บริจาคทรัพย์ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ บริจาคช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส และบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้า โรงเรียน ผู้ประสบภัย และ อีกมากมาย
- วิทยาธรรมเป็นทาน เช่น เผยแพร่ธรรมะด้วยวาจาด้วยการแจกหนังสือ พูดสนทนาธรรมะ แบ่งปันความรู้ธรรมะ ศึกษาธรรมแล้วนำมาบรรยายให้ญาติธรรมได้ฟัง ชวนคนมารับธรรมะเพื่อฉุดช่วยเขาให้ได้รู้วิถีธรรม เป็นต้น
- แรงกายเป็นทาน เช่น เป็นพุทธบริกร ช่วยงานสถานธรรม ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยน้ำแรง ทำความสะอาดถนน ทำความสะอาดบ้าน ห้องพระ ทำความสะอาดห้องน้ำส่วนรวม ปัดกวาดเช็ดถูเก้าอี้ พื้น ในสถานธรรมและที่ส่วนรวมอื่นๆ ทำอาหารเจในครัวที่สถานธรรมเวลามีงานประชุมหรือจัดชั้นเรียนธรรม ทำอาหารส่งเสริมคนทานเจ ปล่อยสัตว์ในตลาดสดที่กำลังจะถูกฆ่า เป็นต้น
คุณประโยชน์ของการับธรรม
ข้อที่สาม คือเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต(เหนือดวงชะตาชีวิต)
มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกมนุษย์ด้วยชะตาชีวิต ที่แตกต่างกันไปบางคนเกิดมามีชีวิตที่สุขสบาย บางคนเกิดมาลำบาก แสนเข็ญบางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนสูงศักดิ์ บางคนต่ำต้อย บางคนสมหวังบางคนผิดหวัง บางคนรุ่งเรือง บางคนตกอับ ฯลฯทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าชะตาชีวิตมีจริงแต่ชะตาชีวิตจำเป็นต้องเป็นไปตามที่ลิขิตหรือ? จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? แล้วจะเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีใด?
รูปลักษณะ เกิดจากจิตใจ ชะตาชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ด้วยใจถึงแม้ชะตาชีวิตจะถูกกำหนดทว่าชะตาชีวิตก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกันวิธีการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไม่ใช่อาศัยการกราบพระขอพรและก็ไม่ใช่
อาศัยหมอดูสะเดาะเคราะห์แก้บน หากแต่ต้องอาศัยตนเอง"เพราะตนและเป็นที่พึ่งแห่งตน"
เนื่องจากชะตากรรมเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเราเองจึงต้องเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเราเอง จึงเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุ หากเป็นเช่นนี้ จะมีวิธีการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตนี้ได้อย่างไร
มีเพียงการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม สร้างสมบุญบารมีเท่านั้น จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลมากที่สุด
กรำทุกข์ท่ามกลางความทุกข์ จึงเป็นยอดคนเหนือคนกรำทุกข์ท่ามกลางความทุกข์หาใช่ที่สุดแห่งทุกข์
หากแต่ควรเป็นความทุกข์ที่มีความหมายที่สุดต่างหากคนเราเกิดมาบนโลกมนุษย์ล้วนมี"รากแห่งความทุกข์"ด้วยกันทั้งนั้น
ถ้ากล่าวถึงเราผู้บำเพ็ญปฏิบัติในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่ว่านี่เป็นการกรำทุกข์ท่ามกลางความทุข์อย่างแท้จริงเช่น เรามาร่วมประชุมธรรม เราอาจจะนั่งศึกษาธรรมทั้งวัน อาจจะได้รับความเมื่อยล้าอ่อนเพลีย ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปแล้ว ความทุกข์ที่ได้รับนั้น เป็นความทุกข์ที่มีความหมายอย่างแท้จริง เป็นความปวดเมื่อยอย่างมีความหมายเพราะใช่ว่าคนที่ไม่ได้มาร่วมประชุมธรรมแล้วจะไม่มีความทุกข์หรือจะไม่ปวดเมื่อย กว่าเราแต่ความทุกข์ทรมานที่เขาทั้งหลายได้รับนั้นหาใช่ความทุกข์ที่แท้จริงไม่คนที่ไม่ได้มาร่วมประชุมธรรม อาจจะต้องพบพานกับความทุกข์มากกว่าเราซ้ำร้ายความทุกข์ที่ได้รับดูเหมือนจะเป็นความทุกข์เดียวกับเราแต่แท้ที่จริงแล้วความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่าง นอกเหนือจากนี้ที่แสดงให้เห็นว่าการรับธรรม สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้นั้นคือการดื่มเหล้า หากหยุดดื่ม เสพของมึนเมา ก็สามารถดำรงชีวิตได้ยาวนานขึ้นสุขภาพจะแข็งแรงขึ้นแก้ความจน ด้วยการประหยัดอดออม รู้จักคำว่า "พอ" ก็จะมีความสุข และพอกิน ทำให้ชีวิตยืนยาวได้ (ทั้งๆ ที่หมดอายุขัยแล้ว)
(แต่ทั้งนี้จะต้อง บำเพ็ญ เข้าใจถึงหลักสัจธรรม หลักธรรมะคำว่าบำเพ็ญ ไม่จำเป็นต้องออกบวช ห่มขาว เพราะยุคนี้ธรรมะลงสู่ครัวเรือนให้บวชที่จิต และนำหลักธรรมไปใช้อย่างถูกต้อง นำพาคนดีเข้ารับอนุตตรธรรม ถึงจะอยู่เหนือดวงชะตาชีวิตได้)
คุณประโยชน์ของการรับธรรม
ข้อที่ 4 ฉุดช่วยบรรพชน 7 ชั้น ลูกหลาน 9 ชั่วคน
สมัยก่อนใครทำได้ คนนั้นปัจจุบันวิถีธรรมได้ลงปกโปรดสามโลก
เมื่อคนตายแล้วก็ต้องไปยังนรกภูมิ ซึ่งดวงวิญญาณก็ยังแบ่งระดับออกไปเป็นหลายระดับด้วยกัน
หากเราทั้งหลายได้บำเพ็ญปฏิบัติธรรม บรรพชนของเราก็มีโอกาสได้สดับฟังพระธรรมที่ตำหนักสดับธรรมถ้าเรายิ่งมีความก้าวหน้าในการบำเพ็ญปฏิบัติ เช่น ตั้งปณิธานกินเจจัดตั้งพุทธสถาน ฯลฯ บรรพชนของเราก็ได้เลื่อนชั้นตามบุณบารมีของเรา
รัศมีปกแผ่ไม่ต้องไปทนทุกข์ทรมานในนรกภูมิ เพื่อรอให้ลูกหลานได้สร้างบุญกุศลพอที่จะฉุดช่วยดวงวิญญาณของบรรพชนกลับคืนสู่อนุตตรภูมิ เสวยความสุขแห่งอริยฐานะชั่วนิรันดร์
พระพุทธจี้กง กล่าวว่า
“กาลเวลาฟ้าในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เอื้ออำนวยให้
มหาธรรมปกโปรดอย่างกว้างขวาง ยิ่งเป็นวาระการปกโปรดสามโลก
ใครก็ตามที่มีบุญปัจจัยได้สดับรับวิถีธรรม ที่เห็นว่าได้รับคือ
ลำพังตัวเองเท่านั้น แต่ที่ไม่เห็น คือความเกี่ยวพันระหว่างตัวเอง
กับบรรพชนเจ็ดชั้นและลูกหลานอีกเก้าชั่วคน"
เพราะฉะนั้น ความผิดถูก ชั่วดี ในขั้นตอนการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จึงเป็นเครื่องวัดการขึ้นลงของบรรพชนของลูกหลานของตนเอง
พระอาจารย์ยังกล่าวอีกว่า
"ความดีทั้งหลายความกตัญญูเป็นเลิศ
หากใครสามารถเป็นแบบอย่างของความกตัญญูได้ดี
อาจารย์รับรองว่าเจ้าต้องสำเร็จธรรมแน่ "
จึงเห็นได้ว่า "การบรรลุอนุตตรธรรม ต้องเริ่มจากการบรรลุ มนุษยธรรมเสียก่อน"
หากทางด้านมนุษยธรรม เราสามารถบำเพ็ญปฏิบัติได้ดีนอกจากจะสะเทือนถึงฟ้าเบื้องบนแล้วยังสามารถฉุดช่วยสาธุชนคนบุญเบื้องล่างได้อีกทั้งหมดนี้เป็นความปรารถนาของพระอาจารย์จี้กงที่ฝากไว้กับสานุศิษย์ทั้งหลาย
คุณประโยชน์ของการรับวิถีธรรมข้อที่ 5 หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ท่านปราชญ์จวงจื้อกล่าว่า "เดิมทีข้าไม่ปรารถนาจะเกิด แต่ฉับพลันก็ต้องเกิดมาเดิมทีข้าไม่ปรารถนาจะตาย แต่ฉับพลันความตายก็มาเยือน"
เมื่อมีการเกิด ย่อม มีการตายฉะนั้นถ้าคิดจะหยุดการตาย มีอยู่ทางเดียวก็คือ ไม่มาเกิดนั่นหมายถึงการหลุดพ้นจากการเกิดตายนั่นเอง
การหลุดพ้นจากการเกิดตาย หมายถึงการอยู่เหนือการเกิดตายไม่ต้องตกอยู่ท่ามกลางวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
ที่ว่าหลุดพ้นจากการเกิด ก็คือ การหลุดพ้นจากชาติ กำเนิด 4 ภูมิวิถี 6
หลุดพ้นจากชาติกำเนิด 4 (จตุโยนิชนิดของการเกิด)
ชลาพุชะ สัตว์เกิดจากครรภ์ คือ คลอดออกมาเป็นตัวเช่น คน ช้าง ม้า วัว ควาย สุนัข เป็นต้น
อัณฑชะ สัตว์เกิดจากฟองไข่ คือ ออกไข่เป็นฟองแล้วจึงฟักเป็นตัวเช่น นก เป็ด ไก่ เป็นต้น
สังเสทชะ สัตว์เกิดจากเถ้าไคล คือ เกิดในของชื้นแฉะ หมักหมม เน่าเปื่อยขยายแพร่ออกไปเอง เช่น หนอนบางชนิด เป็นต้น
โอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น คือ เกิดผุดขึ้นทันทีทันใดได้แก่ สัตว์นรก เปรตบางพวกที่เกิด และตายโดยไม่ต้องมีเชื้อ หรือปรากฏซาก
หลุดพ้นจากภูมิวิถี 6 ภูมวิถี แบ่งออกเป็นทางสุคติภูมิ 3 และทุคติภูมิ 3
สุคติภูมิ 3 มี
เทวภูมิ มนุสภูมิ อสูรภูมิ
ทุคติภูมิ 3
เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ นรกภูมิ
สาเหตุที่ต้องหลุดพ้นจากการเกิดตาย
1.เพื่อดับทุกข์ พระพุทธองค์ตรัสว่า
"ชีวิตมนุษย์เปรียบได้ดั่งทะเลทุกข์"
มนุษย์ทุกชีวิตจะต้องเผชิญกับความทุกข์ใหญ่ทั้ง 8 เช่น
- การเกิดเป็นทุกข์
- การแก่เป็นทุกข์
- การเจ็บเป็นทุกข์
- การตายเป็นทุกข์
- การพลัดพรากจากคนรักเป็นทุกข์
- การอยู่ร่วมกับคู่อริเป็นทุกข์
- การไม่สมหวังในสิ่งที่หวังเป็นทุกข์
- และ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์
2.เพื่อรอดพ้นจากมหันตภัยในอนาคต
ปัจจุบันภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมายทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นภัยทางธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภัยแล้ง น้ำท่วม ฯลฯหรือความวิบัติของโลกมนุษย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น
อันเนื่องมาจาก สภาพจิตของมนุษย์ที่ตกต่ำลงทุกวัน เพราะความโลภความโกรธ และ หลงในอิทธพล ใน อำนาจชื่อเสียงต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตที่เบื้องบนได้แสดงให้เห็นว่าเกณฑ์วาระของโลกได้ดำเนินมาถึงวาระสุดท้ายแล้วและเมื่อภัยพิบัติครั้งใหญ่มาถึง ไม่เพียงแต่เวไนยฯ บนโลกมนุษย์เท่านั้นที่จะถูกมหันตภัยทำลายล้าง แม้แต่เทพเทวาบนชั้นเทวภูมิและวิญญาณบาปในนรกภูมิ ก็ยากรอดพ้นจากวินาศภัยครั้งใหญ่นี้ได้
จะมีก็แต่เพียงการรับวิถีธรรมรู้หนทางหลุดพ้นจากการเกิดตายสร้างบุญกุศลและดำรงตนในคุณธรรมเท่านั้น จึงสามารถหลบหลีกจากภัยใหญ่ครั้งนี้ได้
3. กลับคืนสู่สภาวะเดิม
ที่จริงแล้วพุทธจิตธรรมญาณแต่เดิม ไม่มีการเกิดดับแต่เพราะอวิชาความไม่รู้ทำให้ธรรมญาณเดิมลุ่มหลง จึงทำให้ตกอยู่ท่ามกลางทะเลทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด สูญเสีย "โฉมหน้าเดิมแท้"และไม่สามารถกลับคือสู่สภาวะเดิมได้
ด้วยเหตุนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้สำเร็จธรรมกลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน ซึ่งมีความเมตตาไม่อาจทนเห็นเวไนยฯ ได้รับความทุกข์ทรมานในทะเลทุกข์อย่างไม่สิ้นสุดและเพื่อประสงค์ให้มวลมนุษย์ได้เข้าสู่กระแสแห่งการรู้แจ้ง กลับสู่สถานะเดิมมาอย่างไร ก็กลับไปอย่างนั้น พระองค์จึงได้อวตารภาคลงมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง ได้อรรถาธิบายหลักวิถีธรรมอันแยบยล ฉุดช่วยและกล่อมเกลาโลกียชนให้หลุดพ้นการเกิดตายกลับคืนสู่สภาวะเดิม
การหลุดพ้นจากการเกิดตายที่แท้จริง
การรับวิถีธรรมเป็นการได้พบพระวิสุทธิอาจารย์(อาจารรย์ผู้รู้แจ้ง)และได้รับการเบิกธรรม "ถอนชื่อจากบัญชีนรก ลงทะเบียนบนบัญชีสวรรค์"(ชื่อจะไปอยู่ ณ ด่านตรีเทพพิทักษ์ , หลวงปู่คำน้อยถอดจิตไปเที่ยวสวรรค์เจอด่านตรีเทพพิทักษ์ )จากนั้นก็บำเพ็ญปฏิบัติธรรม จนบรรลุปณิธาน จึงจะสามารถรอดพ้นจากเงื้อมือของพญายม ไม่ตกอยู่ในอุ้งมือแห่งอนิจจัง(ความไม่เที่ยง) เช่นนี้เรียกว่า "หลุดพ้นจากการเกิดตาย"
เพราะเหตุใด การรับวิถีธรรมจึงสามารถถอนชื่อจากบัญชีนรก ลงชื่อบัญชีสวรรค์พร้อมบำเพ็ญปฏิบัติงานธรรม ก็สามารถรอดพ้นเงื้อมือพญายมไม่ตกอยู่ในความไม่เที่ยง ได้?
การหลุดพ้นจากการเกิดตายที่แท้จริง
เนื่องจากจิตประสภัสสร ของเวไนยฯ ได้ถูกวัตถุตัณหาครอบงำ และถูกอนุสัยบดบังจึงได้สูญเสียโฉมหน้าเดิมส่งผลให้เวียนว่ายในทะเลทุกข์เรื่อยมายิ่วเวียนว่ายก็ยิ่งทำให้รัศมีของธรรมญาณมัวหมอง ยิ่งมัวหมองก็ยิ่ง
ทำให้สภาพธรรมญาณตกต่ำลง
เมื่อธรรมญาณ เดินลุ่มหลงระเริงไปตามอารมณ์ทั้ง 7 (ยินดี,ยินร้าย,โศก,สุข,รัก,ชัง,กิเลส) และตัณหา ทั้ง 6 (รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัส,ธรรมารมณ์)ทำให้ความวิสุทธิ์ของธรรมญาณเดิมแปดเปื้อนตกต่ำไปตามกาลเวลาใจในที่สุดต้องตกลงสู่ห้วงแห่งการเวียนว่ายในชาติกำเนิด 4 และภูมิวิถี 6
ด้วยเหตุนี้ เอง ธรรมญาณที่มีสถานะเดิมเป็น "นาย" และมีหน้าที่คอยกำกับพฤติกรรมของมนุษย์ ก็กลายมาเป็น "บ่าว"ที่ต้องถูกกำกับ ส่วนธรรมารมณ์อันเป็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ซึ่งมีสถานะเดิมเป็นบ่าวที่คอยถูกกำกับจากธรรมญาณอันบริสุทธิ์ ก็ขึ้นครองกลายมาเป็น นายมาเป็นตัวกำกับแทนที่ธรรมญาณเดิม
และร้อยปีเมื่อละกายสังขารไปทิศทางของภูมิภพที่จิตญาณจะไปก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจิตญาณจะออกทางทวารใด ในบรรดาทวารทั้ง 6
หากชีวิต สร้างบุญ คุณธรรม หนึ่งจุดจิตญาณจะออกทางกระหม่อม
หากชีวิตนี้ ดำรงตนอยู่ในกรอบหน้าที่ มีความดีและความชั่ว
คละปนกันไป เช่นนี้ จุดจิตญาณจะออกทางสะดือ เพื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป
ตรงกันข้ามหากไม่อยู่ในกรอบหน้าที่ หลงระเริงในวัตถุตัณหา
ก่อบาปสร้างเวร หนึ่งจุดจิตญาณ ออกทางตา ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก
เช่น นก เป็ด ไก่ ฯลฯ
หากออกทางหู ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดินดิน เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย สุนัข ฯลฯ
เมื่อออกทางจมูกจะไปเกิดเป็น แมลง เช่น ยุง แมลง ผึ้ง ฯลฯ
หากจิตญาณออกทางปาก ก็ไป เกิดเป็นสัตว์น้ำ
เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ
ที่กล่าวมานี้ ล้วนเกิดขึ้นจากความลุ่มหลงของจิตญาณที่ปล่อยไปตามกระแสธรรมารมณ์จึงได้ตกสู่วัฏจักรการเวียนว่ายในชาติกำเนิด 4 ภูมิวิถี 6
ฉะนั้น หากไม่ได้รับวิถีธรรม บำเพ็ญและปฏิบัติธรรม ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกระแสการเวียนเกิดได้
เมื่อหนึ่งจุดจิตญาณก็จะออกทางประตูเดิมแห่งธรรมญาณ เรียกว่า "กลับสู่ธาตุแท้คืนสู่ต้นกำเนิดเดิม"
กลับคืนสู่อนุตตรภูมิ หรือ มาตุภูมิเดิมนั่นเอง ดังนั้นจึงกล่าวว่า "อนุตตรภูมิแม้นอยู่ห่างไกลสิบหมื่นแปดพันลี้
เพียงหนึ่งจุดชี้ ก้าวเดียวก็หลุดพ้น
หลักฐานประจักษ์แจ้งเกี่ยวกับศิษย์อนุตตรธรรมในธรรมกาลยุคขาว ที่ได้รับวิถีธรรมได้ฝึกบำเพ็ญธรรมและปฏิบัติธรรม เมื่อละกายสังขาร จะเห็นภาพลักษณ์ที่เป็นมงคลน่าชมมีสีหน้าที่ผุดผ่องเหมือนมีชีวิตอยู่ มีใบหน้าที่ชื่นบานสดใส"กายเนื้อนวลนิ่มดุจดั่งสำลี" ร้อยวันไม่แข็งทื่อ นี่เป็นประจักษ์หลักฐานของการรับวิถีธรรมและเป็นนิมิตของการหลุดพ้นจากการเกิดตาย
หากมีสิ่งใด ขาดตกบกพร่อง
กราบขอฟ้าเบื้องบนทรงประทานอภัยโทษ
อาจารย์เตี่ยนฉวนซือเมตตาเพิ่มเติม
นักธรรมอาวุโสโปรดชี้แนะ
No comments:
Post a Comment