Friday

หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการในการบำเพ็ญอนุตตรธรรม

"เพียรธรรมน้ำใจจริง"


เพียรธรรมน้ำใจจริง ซาบซึ้งธรรมตระการ

ยกตนเหนือทั้งนั้น จะล้มพับด้วยมาร

หนุ่มสาวชราวัย ธรรมะมีเพียงทางหนึ่ง

เข้าชั้นฟังบรรยาย ธรรมะมีเพียงทางหนึ่ง

เพลง "เพียรธรรมน้ำใจจริง"

โอวาทพระอรหันต์จี้กง

"สัจจธรรมในตัวมนุษย์" คือ มโนธรรมสำนึก ทุกคนมีมโนธรรมสำนึกซึ่งแต่เดิมนั้นบริสุทธิ์ แต่เมื่อต้องผ่านการเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน จิตใจจมปรักอยู่กับกิเลสตัณหา เราจึงเลอะเลือนชอบที่จะทำอะไรตามความพอใจ แปรปรวนไปตามอารมณ์อยาก ยากที่จะดำเนินชีวิตไปตามมโนะรรมดั้งเดิมที่ใสสะอาดบริสุทธิ์

การบำเพ็ญตนไม่ใช่การแสดงออกให้เห็นได้แต่ภายนอกเท่านั้น แต่จะต้องสอดคล้องกับมโนะรรมสำนึกภายในด้วย เรียกว่า "บำเพ็ญจากภายใน สู่ภายนอก" คือการกระทำและความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คิดดีได้ก็ทำดีได้ คิดอย่างไรก็ทำได้อย่างนั้น

หลักเกณฑ์พื้นฐาน คือ หลักปฏิบัติอันเป็นบรรทัดฐานให้เราก้าวสูงขึ้นไป เราทราบดีว่าในโรงเรียนเราต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กำหนด เพื่อที่จะก้าวขึ้นชั้นสูงไปเรื่อยๆ สำหรับคนที่ทำงานแล้วเมื่อเจ้านายของเราต้องการเลื่อนตำแหน่งให้ใครสักคนหนึ่ง แน่นอนท่านย่อมต้องค้นหาคุณสมบัติที่ดี เช่น ความขยันขันแข็ง ความสามารถในการเป็นผู้นำ มีความคิดสร้างสรรค์ ความมีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ

แล้วสำหรับ "การบำเพ็ญอนุตตรธรรม" ล่ะ! มีอะไรเป็นเกณฑ์พื้นฐาน? เราต้องรู้เสียก่อนว่าเราควรมีคุณสมบัติอะไรบ้างในการที่จะได้ชื่อว่าเป็น "ผู้บำเพ็ญธรรม"

สิ่งที่สำคัญที่สุดผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้ว่าเป้าหมายสูงสุดขอการบำเพ็ญธรรม คือ "สำเร็จธรรม" สามารถหลุดพ้นกลับคืนสู่แดนนิพพาน และเพื่อที่จะสำเร็จธรรมสูงสุด "เราจะบำเพ็ญอย่างไร?"

.ในอดีต บรรดานักปราชญ์และอริยะทั้งหลายต้องสละความสุขทางโลกทุกอย่าง ตัดความผูกพันทั้งหมดเพื่ออกไปบำเพ็ญอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง

มาถึงปัจจุบันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป เวลาและภาวะการณ์ทำให้เราต้องบำเพ็ญธรรมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราเป็นอยู่นี้ให้ได้ โดยอาศัยพื้นฐานหลัก 4 ประการคือ
1. อุปนิสัยที่ดีงาม
2. ความดีและคุณธรรม
3. ความอดทน
4. จริยะธรรมหรือจรรยามารยาท

1. อุปนิสัย

หมายถึง แนาวทางความรู้สึกนึกคิดของบุคคลนั้น อุปนิสัยทำให้คนแต่ละคนมีคุณภาพแตกต่างกัน การกรทำและคำพูดที่คนเราแสดงออกในชีวิตประจำวันจะเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสัยของคนผู้นั้น การรู้นึกพัฒนาอุปนิสัยให้ดีงามเป้นสิ่งสำคัญยิ่งในการบำเพ็ญธรรม

ทำไมเราจึงต้องมีอุปนิสัยที่ดีงาม

- คุณค่าของสิ่งของต่างๆ ขึ้นอยู่กับคุณภาพ คุณภาพดีกว่าราคาก็ย่อมสูงกว่า เช่นเดียวกันคุณค่าของ "คน" ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเขา คนที่มีอุปนิสัยดีความประพฤติของเขาก็จะดีตามอุปนิสัยที่ดีของเขาจะส่งผลให้ผู้คนรอบข้างยึดถือเป้นตัวอย่าง และแน่นอนเขาย่อมจะได้รับความเคารพนับถือและให้เกียรติจากคนทั้งหลาย

- พระอาจารย์ของเราก็ทรงหนักพระทัยกับคนประเภท "มือถือสาก ปากถือศีล" ดีแต่พูดแต่ทำไม่ได้บอกผู้อื่นทำแต่ตึวเองไม่เคยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ผู้บำเพ็ญธรรมที่แท้จริงจะต้องมีรากฐานการดำเนินชีวิตตามเยี่ยงอย่างนักปราชญ์และอริยะทั้งหลาย มิใช่แค่ปฏิบัติตามพิธีกรรมในศาสนาเท่านั้น พระเยซูคริสต์ตรัสว่า

"...เหตุใดท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยุ่ในตาของท่านท่านกลับไม่รู้สึก หรือเหตุไฉนท่านจะว่าแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จึงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของเจ้าก่อนแล้วเจ้าจะได้เห็นถนัด จึงจะเขี่ยผลออกจากตาพี่น้องของเจ้าได้...." (มัดธาย 7 3-5)

...อนุตตรธรรมอันเป็นสัจจธรรมที่ยิ่งใหญ่ล้ำค่า ไม่มีรูปร่างลักษณธ กายเผยแพร่สัจจธรรมนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทั้งหลาย ท่านธรรมอธิการหัน เปล่า เฉียน เหยิน ได้กล่าวไว้ว่า "ทุกคนเป็นตัวเแทนของธรรมะ เพราะฉะนั้นภาพพจน์ของเราที่ปรากฎต่อผู้คนทั้งหลายจะแสดงถึงคุณค่าของสัจจธรรมนี้"

...ในหนังสือชื่อ "การเรียนรู้อันยิ่งใหญ่" (The Great Learning) ระบุว่า"ครอบครัวจะราบรื่นถ้าคนในครอบครัวรู้จักบำเพ็ญธรรม เมื่อครอบครัวราบรื่นแล้ว บ้านเมืองก็จะปกครองไปด้วยดี ในที่สุดทั้งโลกก็จะพบกับความจริงรุ่งเรืองและสงบสุข ฉะนั้น การบำเพ็ญตัวเองจึงเป็นการสร้างฐานแห่งโลกพระศรีอารย์"

เราจะบำเพ็ญตนอย่างไรจึงจะมีอุปนิสัยที่ดีงาม ถูกต้องชอบธรรม

- ท่านขงจื้อกล่าวว่า "เมื่อเราเห็นคนที่มีคุณค่า เราควรคิดที่จะทำตนให้มีคุณค่าทัดเทียมเขา เมื่อเราเห็นคนที่ด้วยคุณค่า เราต้องย้อนสำรวจดูตัวเราเอง"

- ดังนั้นในการบำเพ็ญตัวเรา เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่จะต้องรู้จักเลือกสิ่งแวดล้อมและเพื่อนใกล้ชิด ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง เพราะทั้งสองอย่างมีอิทธิพลอย่างมากในการชักนำเราไปสู่ทางดีหรือเลว

- โดยปกติคนเราย่อมรู้เสมอว่า สิ่งไหนถูกต้องและควรทำ แต่เขามักไม่ทำในสิ่งที่ถูกเสมอไป เพราะความเย่อหยิงและอวดดียึดติดอยู่ในความคิดของเขาอย่างเหนียวแน่น เหมือนกับ แก้วที่บรรจุน้ำไว้จนเต็มปริ่มไม่สามารถจะเติมอะไรลงไปได้อีก มีแต่ล้นออกมาเสียหมด นอกจากเขาจะเอาน้ำนั้นออกไปเสียบ้าง เช่นเดียวกัน คนเราควรจะลดความเย่อหยิงอวดดีลงเสียบ้าง และพยายามรับฟังความเห็นของผู้อื่นเพื่อนำมาเป็นประโยชน์แก่ชีวิตตนเอง

"คนที่คิดว่าตนเองรู้อะไรหมดทุกอย่างแล้ว เขายังจะสามารถเรียนรู้อะไรได้อีก?"

 - คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดีโดยธรรมชาติ ความดีและคุณธรรมติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดท่านเม่งจื้อได้กล่าวว่า

"อันการศึกษาวิทยาการนั้นไม่มีอะไรอื่น นอกจากเพื่อติดตามหาคุณสมบัติที่พรากหายไปจากจิตเดิมแท้ให้กลับคืนมาเท่านั้น" เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการเรียนรู้ ก็คือ การค้นหาความดีในจิตซึ่งหลงขาดหายไป และนำกลับมาไว้ที่มันเคยอยู่ เราจึงจะมีคุณธรรมอีกครั้ง

- การบำเพ็ญ คือ ขั้นตอนการเรียนรู้ อันมีช่วงระยะใหญ่ๆ 5 ระยะดังนี้

ก. การศึกษาอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มเติมสติปัญญาทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ ชัดเจนลึกซึ้งและกว้างไกลยิ่งขึ้น

ข. การถามอย่างมีไหวพริบ การถามคำถามเพื่อจะได้คำตอบที่ดีและถูกต้อง จะช่วยนำทางไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง

ค. การคิดอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยการคิดทบทวนในสิ่งที่เราได้ศึกษา จะช่วยให้เราก้าวไปสู่ความเข้าใจที่สูงขึ้น ท่านขงจื้อกล่าวว่า "การเรียนโดยปราศจากการคิดไม่มีประโยชน์การคิดโดยปราศจากการเรียนรู้ก็เป็นอันตราย"

ง. การพิจารณาไตร่ตรองที่ดี เมื่อเรารู้จักพิจารณาก็จะสามารถทำให้เราแยกแยะความถูกออกจากความผิด

จ. การปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรวมเอาความรู้เข้ากับการปฏิบัติให้ได้ ผู้ที่อ้างว่าตนรู้ดีในข้อคุณธรรมแต่ไม่ได้ปฏิบัติเลย ไม่ถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม

ความรู้คือ รากฐานในการปฏิบัติ การปฏิบัติ คือ ความรู้ที่สมบูรณ์

2. ความดีและคุณธรรม

ความดี หมายถึง การสัมผัสถึง "ตัวจริงแท้" ที่อยู่ภายในตัวเรา และเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดบนเส้นทางที่มันพาไป

การทำดีตาม "คุณความดีภายใน" เรียกว่า "ทำดีโดยคุณธรรม"

ทำไมเราจึงต้องทำความดี?

ก็เพราะ

- เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเลื่อนขึ้นเป็น "พุทธะ" และ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์"

- เพื่อลดกรรมชั่วที่ได้สะสมไว้ในอดีต

- เพื่อฉุดช่วยบรรพบุรุษที่ต้องตนทุกข์ทรมานอยู่ในนรก ซึ่งเป้นการแสดงความกตัญญูต่อท่าน

เราจะทำความดีได้อย่างไร ?

การบำเพ็ญธรรม เป็นการซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่มีอยู่ในตัวเอง เช่น การขจัดนิสัยที่ไม่ดี ฝึกตนเป็นเป็นคนรอบคอบ ฯลฯ นอกเหนือจากนี้แล้วผู้บำเพ็ญธรรม ต้องมีจิตใจที่เสียสละเพื่อผู้อื่น ช่วยให้ผู้อื่นดีขึ้น เป็นการสร้างบุญกุศลให้บริบูรณ์ครบถ้วน

การสร้างบุญกุศลแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

ก. สร้างบุญกุศลด้วยทรัพย์ เช่น

- บริจาคทรัพย์พิมพ์หนังสือธรรมะ

- ช่วยเหลือบำรุงธรรมสถาน

ข. สร้างบุญกุศลด้วยแรงกาย

- สละแรงกายช่วยเหลือภารกิจงานธรรมทุกอย่าง

- บำรุงรักษาสถานธรรมและสถานที่สาธารณะ

ค. สร้างบุญกุศล, ด้วย "ธรรมทาน"

- ให้กำลังใจและช่วยเหลือแก่ผู้ใฝ่หาวิถีธรรมให้เขาได้รู้หลักการบำเพ็ญอนุตตรธรรมที่ถูกต้อง

- ช่วยเกื้อหนุนเผยแพร่ "สัจจธรรม" ให้กว้างขวางกระจายไปทั่วทุกแห่งหน

เราจะบำเพ็ญตัวเราให้ดีพร้อมได้อย่างไร?

จากหนังสือ "การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่" เขียนไว้ว่า

"ก่อนที่เราสามารถพัฒนาอุปนิสัยให้ดีได้ ต้องหมั่นขจัดกิเลส พยายามเพิ่มเติมความรู้สร้างความมุ่งมั่นตั้งใจจริงและซื่อสัตย์ต่อความรู้ของตน"

- หมั่นขจัดกิเลส คือ ขจัดความเห็นแก่ตัวและสิ่งไม่ดีทั้งหลายรอบข้างตัวเรา ซึ่งจะบั่นทอนการบำเพ็ยธรรมของเรา

- เพิ่มเติมความรู้ เมื่อขจัดความเห็นแก่ตัวลงไปแล้ว การสำรวจตรวจสอบดูตัวเราก็จะแจ่มชัดยิ่งขึ้น แล้วพยายามฟื้นฟูมโนธรรมสำนึกที่ดีงามด้วยการเรียนรู้หลักศีลธรรมจริยธรรมเพิ่มเติมอยู่เสมอ จนกระทั่งจิตใจมีแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตน และจริงใจต่อทุกคน



- สร้างความมุ่งมั่นตั้งใจจริง

- ไม่หลอกลวงตัวเอง ท่านเมิ่งจื้อได้กล่าวว่า "ไม่มีความเพลิดเพลินใดสำหรับฉันยิ่งไปกว่า การสอบจนรู้ได้ว่า ฉันจริงใจต่อตัวฉันจริงๆ"

- ซื่อตรงต่อเจตนาและความรู้สึกของเรา "อย่างเสแสร้งในเมื่อใจบอกว่าชอบหรือไม่ชอบ" เมื่อจมูกเราสัมผัสกับกลิ่นเหม็นเราก็จะเบือนหน้าหนีทันที เมื่อเรามองเห็นสิ่งที่สวยงามตาก็จะสดุดหยุดมองดูทันที เราไม่ค่อยได้ยั้งคิดว่าการแสดงออกนั้นสมควรหรือไม่? เช่นเดียวกับที่เราไม่สามารถจะซ่อนความรู้สึกและอารมณ์ที่แท้จริงภายในไว้ได้

เราสามารถแสดงความรังเกียจทันทีที่เห็นความไม่ดีของคนอื่น แต่ก็แสดงความรักทันที ที่เห็นความดีของเขา

เพราะฉะนั้น การซื่อตรงต่อเจตนาและความรู้สึกของเรา ก็คือ การไม่แสดงออกและปฏิบัติต่อผู้อื่น โดยถืออารณ์ชอบ - ไม่ชอบ ของตนเป็นใหญ่

เราต้องฝึกฝนตนเองให้แสดงความรู้สึกต่อผู้อื่นด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง ชอบธรรม ปราศจากอคติ

- ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตน

ท่านขงจื้อกล่าวว่า "รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ท่านรู้ และรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ท่านไม่รู้ นั่นแหละ คือ "การรู้ที่แท้จริง"

คนเรามักจะหลอกลวงตัวเองและผู้อื่นเสมอเกี่ยวกับความรู้ ความสามารถของตน ผลก็คือเราจะไม่มีโอกาสปรับปรุงความรู้และความสามารถของเราให้ก้าวหน้าไปได้เลย เพราะเราเชื่อมั่นและหลงตัวเองจนเกินไป ดังนั้น การหลอกลวงตนเองจึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนรู้

การแก้ไขปรับปรุงจิตใจ

ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ที่ไม่ดี การหลอกลวงตัวเอง และกิเลสตัณหาล้วนเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ เพราะฉะนั้นเราจะต้องแก้ไขปรับปรุงจิตใจโดยการสำรวจตรวจสอบและพัฒนาความคิดของเราให้ดีงามถูกต้องชอบธรรมอยู่เสมอ

- มีคำกล่าวว่า "ผู้บำเพ็ญธรรมต้องเฝ้าดูความคิดของตัวเองให้มาก ในยามที่อยู่ลำพังคนเดียว" เมื่อเรามีความจริงใจ และชำระจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์พอแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะพบว่าตัวเรา และคุณธรรมดั้งเดิมภายในที่เบื้องบนประทานให้เป็นสิ่งเดียวกัน

- ความโกรธเกลียด ความหวาดกลัว ความทุกข์ระทมใจ ความลิงโลดใจ สนุกสนานจนเกินเหตุสามารถทำลายสติสัมปัชชัญญะและความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วของจิตใจเราได้ เราควรทำทุกอย่างด้วยความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน เพื่อจะได้ไม่ถูกอารมณ์ต่างๆ เข้าครอบงำ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราจะแสดงออกอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่ให้เราตระหนักเอาไว้ว่า ถ้าหากเราถูกเหตุการณ์ต่างๆ พาไป เราควรตั้งมั่นอยู่ในความสำรวมและมีสติ และแสดงออกอย่างถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์

- จิตใจที่ถูกครอบงำโดยกิเลสตัณหา ไม่สามารถมีความคิดที่ถูกต้อง และยุติธรรมคนที่มีจิตใจยังไม่ได้ฝึกฝนย่อมไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลยว่าจะใช้คุณธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัได้อย่างไร?

3. ความอดทน

ด้วยความมีไตรีจิตปราศจากความขุ่นเคืองหรือรำคาญใจ เช่น สามารถยอมรับความเจ็บป่วย ทุกข์ยากลำบากโดยปราศจากการบ่น หรือหันเหออกไปจากวิถีทางของความถูกต้อง

"ความโกรธ คือ ลมที่พัดดวงประทีปในใจให้ดับวูบ"

(โรเบิรต์ อินเกอร์ซอล)

ความอดทนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่

ประเภทแรก คือ อาศัยการอดกลั้น

ประเภทที่สอง คือ อาศัยการให้อภัย

ประเภท "อดทน" โดยอาศัยการอดกลั้น เราต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า เป้าหมายของเราคือ "รู้จักอดกลั้น" และเราต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายที่เราได้ตั้งไว้ นั้นก็คือ เราจะต้องฝึกระงับใจในความอยากหรือไม่อยากของเรา เช่น อยากทำในสิ่งที่แม้จะรู้ว่ามันไม่ดี แรกๆ ที่หักห้ามระงับใจจะรู้สึกฝืนใจและใช้ความอดกลั้นมาก แต่พอทำได้บ่อยๆ ก็จะง่ายขึ้น และไม่อยากทำชั่วโดยไม่ฝืนความรู้สึก

การทำดีก็เช่นกัน บางคนอกาจมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเสแสร้งแกล้งทำ แต่เมื่อใช้สติปัญญา ทำความเข้าใจในเหตุผลของการทำความดีแล้ว ก็จะทำได้โดยง่ายและรู้สึกเป็นธรรมชาติที่คิดทำแต่สิ่งที่ดี

- ถ้าหากเรายังไม่สามารถฝึกระงับใจตัวเอง และยังมีความอดกลั้นไม่ดีพอ เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงการประจัญหน้าอย่างจังกับบุคคลหรือเหตุการณืที่มากระทบทันที จนกว่าความโกรธ ความฉุนเฉียวจะจางลง แล้วจึงเผชิญหน้ากันอีกครั้งอย่าวสุภาพสุขุม ให้ความเคารพและยอมรับในความแตกต่างของสภาพจิตใจของกันและกัน

- แต่ความอดทนที่มีพื้นฐานจากการอดกลั้นเพียงอย่างเดียว นานๆ ไปอาจนำไปสู่ความเก็บกด อารมณ์โกรธ เคลียดแค้น ชิงชัง หวาดระแวง ความรู้สึกเหล่านี้เป็นเชื้อของบาป ซึ่งจะทำลายจิตใจของเราในภายหน้า

ประเภทที่สอง "อดทน" โดยการให้อภัย

- การให้อภัยในความผิดที่ผู้ได้กระทำ คือ การบำเพ็ญ "คามอดทน" ที่แท้จริง ความอดทนประเภทนี้ไม่ใช่ การอดกลั้นที่เก็บกดความรู้สึก แต่เป็นการอดทนที่ประกอบไปด้วยความรัก ความเมตตา มีความยินดีห่วงใยผู้อื่น นี่คือ ความอดทนประเภทที่ผู้บำเพ็ญธรรมใช้ปฏิบัติ

- ในยามเจ็บไข้และทุกข์ยากลำบาก "ความอดทน" ช่วยให้เราบากบั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อบรรลุเป้าหมายในการบำเพ็ญธรรมให้ได้อย่างมีพลัง

- ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากจะถูกมองว่าเป็น ผลกรรมจากอดีต มารผจญ หรือการทดสอบของเบื้องบน จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เราทุกคนต้องประสอบ เมื่อเป็นเช่นนั้น "ทำไมเราไม่เผชิญหน้ากับปัญหาที่ท้าทายเพื่อทำให้ชีวิตนี้มีความหมายและน่าสนใจยิ่งขึ้น"

- เมื่อเรารู้แล้วว่า การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่ตัวเราและคนรอบข้างเท่านั้น แต่บรรพบุรุษของเราที่ล่วงลับไปแล้วก็จะไปแล้วก็จะได้รับอานิสงส์จากการบำเพ็ญธรรมของเราด้วย เพราะฉะนั้นแม้ว่าเราจะต้องบำเพ็ญธรรมด้วยน้ำตานองหน้า เผชิญความทุกข์ยากอุปสรรคต่างๆ ในเวลานี้แต่มันก็คุ้มค่าที่จะฟันฝ่าไปจนเสร็๋จ มิใช่หรือ?

4. จริยธรรมหรือจรรยามารยาท

จริยธรรมหรือจรรยามารยาท คือ การเรียนรู้ถึงมารยาทที่ดีงาม ระเบียบวินัยของการอยู่ร่วมกัน ระหว่างตัวเราต่อบุคคลอื่นและต่อสังคม ซึ่งควรแสดงอย่างถูกกาละเทศะ

การเรียนรู้กิริยามารยาทที่ถูกต้องดีงามอันเป็นคุณสมบัติของผู้ดี จะช่วยให้กาอยู่ร่วมกันในสังคมมีความเป็นระเบียบงดงาม

การปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรมอันดีงาม มีผลอันยามไกลต่อการดำเนินชีวิตต่อไปภายหน้า

ถ้าทุกคนในสังคมต่างปฏิบัติต่อกันด้วยความนับถือและอ่อนน้อมต่อกันด้วยความจริงใจ สังคมนั้นก็จะน่าอยู่ราบรื่นและสงบสุข

หลักจริยธรรมที่เราใช้เป็นข้อคิดในการอยู่ร่วมกัน 4 ข้อ คือ

1. ไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง

2. ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง

3. ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

4. ไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ

คนเราได้ชื่อว่าเป็นตัวการสำคัญในการทำเรื่องเลวร้าย ป่าเถื่อนทุกประเภท แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ชอบเผชิญหน้ากับความป่าเถื่อนเลวร้าย และพฤติกรรมที่ตนเองก่อไว้ทั้งหมด

จรรยามารมาทอันดีงามเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความมีชัย เหนือความป่าเถื่อนในตัวเอง การแสดงมารยาทที่อ่อนโยนนอบน้อมไม่ใช่หมายถึง ความอ่อนแอ ขี้ขลาด แต่เป็นสัญญลักษณ์ของคนที่มีสามัญสำนึกสมบูรณ์

กิริยามารยาทที่ดีช่วยให้สังคมดำเนินไปอย่างราบรื่น ดุจเดียวกับเครื่องจักรกลที่ต้องอาศัยน้ำมันหล่อลื่น หากสังคมใดขาดความมีกิริยามารยาทที่ดีเสียแล้ว จะมีแต่ความขัดข้อง ทะเลาะเบาะแว้ง บาดหมางใจกันไม่มีวันสิ้นสุด จิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดก็จะมีแต่ตกต่ำและเสื่อมทรามลง

สรุป

ผู้ที่จะบำเพ็ญตนให้สมบูรณ์เพียบพร้อมต้องใช้เวลาทั้งหมดที่มีในชีวิต และมีความมานะ พากเพียรอยู่ทุกลมหายใจ การบำเพ็ญธรรมเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน ถ้าเรามุ่งมั่นฝ่าฟันไปจนบรรลุเป้าหมายก็นับว่าเป็นผลงานที่คุ้มค่าในชีวิต ชื่อว่า เกิดมาชาตินี้ไม่สูญเปล่า

ถึงแม้ว่าการแก้ไขพัฒนาตัวของเรายังไม่อาจเทียบได้กับพระอริยะเจ้าและสิ่งศักด์สิทธิ์ทั้งหลาย เราอาจยังมีบารมีไม่มากพอที่จะผลักดันชาวโลกทั้งมวลไปให้ถึงจุดหมายสูงสุดในเวลาเดียวกัน แต่สำหรับวิถีชีวิตที่เราดำเนินอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัว กับเพื่อนบ้าน มิตรสหาย กับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วยเราสามารถอยู่กับเขาอย่างมีความหายและทรงคุณค่า ไม่มีใครบอกได้ว่า เราจะโน้มน้าวจิตใจและจูงมือคนรอบข้างให้ร่วมเดินไปสู่เป้าหมายสูงสุด ได้มากน้อยแค่ไหน?

โลกนี้จะน่าอยู่ยิ่งขึ้นเมื่อทุกคนหันมาปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายคือ ผู้ที่จะนำความสันติสุขและความปลอดภัยมาสู่ชนรุ่นหลังต่อไป

No comments:

Post a Comment