Monday

ดำเนินชีวิตอย่างไรให้ได้โสดาบันอย่างง่าย ๆ ด้วยนิพพานปัจจัย 5

ได้ข้อมูลมาจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=120690


ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างไรให้ได้โสดาบันอย่างง่ายๆ

ในชีวิตประจำวันของเรา คงยากที่จะบรรลุธรรม เพราะเราไม่ได้มีอาชีพ นักบวช ปัจจัยต่างๆ ที่เกื้อหนุนในการบรรลุธรรม ดูจะขาดแคลนและไม่ใช่ที่ๆ เหมาะแก่การดำเนินชีวิตเพื่อหลุดพ้นซึ่งกิเลสทั้งมวล ทำอย่างไร ให้ฆราวาสอย่างเราทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมโดยง่าย และมีโอกาสได้บรรลุธรรม หลุดพ้นทุกข์ ดุจดังเช่น พระสงฆ์ที่บวชในพระพุทธศาสนาทั้งหลาย บทความฉบับนี้ขอแนะนำ ปัจจัยในชีวิตประจำวัน ของเรา เกื้อหนุนต่อการบรรลุธรรมโดยง่าย ซึ่งจะเหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมของฆราวาสได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งได้กลั่นกรองจากการศึกษาพระธรรมในพระพุทธศาสนาโดยตรงด้วยตัวเอง หมวดธรรมนี้ไม่ขอจัดเป็นธรรม อันเทียบได้ว่าจะเป็นธรรมะในไตรปิฎกแต่อย่างใด ขอให้ถือว่าเป็นเพียง เคล็ดลับในการปฏิบัติธรรม ดังจะอธิบายต่อไปนี้  

แสวงหาเครื่องอุดหนุนนิพพานทั้ง ๕ (นิพพานปัจจัย ๕)
มีอยู่ห้าประการ คือ สุขปัจจัย, สังคมปัจจัย, กรรมปัจจัย, ธรรมปัจจัย, วิมุติปัจจัย อันปัจจัยทั้งห้าประการนี้เป็นเครื่องปรุงแต่งภายนอกที่หนุนนำให้บุคคลสามารถบรรลุธรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สุขปัจจัย คือ ความสุขจากความสงบ อันเป็นเหตุใกล้แห่งนิพพาน หากคนขาดกำลังใจ ไม่เห็นว่านิพพานเป็นสุขอันยิ่งแล้ว ก็จะไม่มีแรงจูงใจได้ต้องกระทำเพื่อพระนิพพาน สุขปัจจัย จึงเป็นปัจจัยเร่งนิพพานได้, สังคมปัจจัย คือสังคมแวดล้อมตัวเราที่เป็นเสมือนกระจกคอยสอดส่องเรา เป็นเครื่องช่วยหนุนนำและขัดขวางเราในการบรรลุธรรมได้ หากเราสามารถใช้สังคมเป็นเครื่องมือ ย่อมเทียบได้กับมีกองทัพต่อสู้กิเลสทีเดียว, กรรมปัจจัย คือ บุคคลย่อมมีกรรมบังตา ย่อมต้องชดใช้กรรมก่อนเข้าสู่ทางหลุดพ้นทุกข์ หากหนี้กรรมยังมาก ยังไม่หมด ยังไม่สิ้นสุด ก็ไม่อาจบรรลุ เพราะกรรมมาบังตา ไม่เห็นธรรม เช่น นั่งสมาธิก็มีมารมารบกวน, ต้องเจ็บปวดเมื่อยร่างกาย, มีความเจ็บป่วยเบียดเบียน ทำให้ยากแก่การบรรลุธรรม ดังนั้น จำต้องรู้จักชดใช้กรรมให้มากและเร็ว ไถ่ถอนหนี้กรรมเก่าการบรรลุธรรมจึงจะเร็วขึ้น, ธรรมปัจจัย คือ การแสวงหาธรรมจากสรรพสิ่งรอบตัว เมื่อถือได้ว่าสรรพสิ่วรอบตัวมีธรรมซ่อนอยู่ เท่ากับอยู่ในแวดล้อมแห่งธรรม ยามนั้น โลกก็กลายเป็นพระไตรปิฎกห่อหุ้มกาย, โลกกลายเป็นครูบาอาจารย์ห่อหุ้มกาย การบรรลุธรรมจะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเงื่อนไข, ทุกสถานที่ และทุกเวลา และท้ายที่สุด คือ วิมุติปัจจัย คือ แก่นแท้เนื้อธรรม อันเป็นธรรมแท้ที่ซ่อนอยู่ในสรรพสิ่งนั้น สรรพสิ่งที่แสดงตนในแรกอายตนะสัมผัสได้ จะเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งธรรม เป็นเพียงเปลือกหุ้มธรรม หากบุคคลไม่ใช้ปัญญาย่อมไม่แจ้งแทงตลอดทะลุถึงเนื้อธรรมอันเป็นแก่นข้างใน กล่าวคือ ในสมมุติมีวิมุติ, ในสรรพสิ่งมีธรรม นั่นเอง

๑.    สุขปัจจัย คือ การเสพความสงบสงัดเป็นสุขอันยอด (สุขในสงบ)
นิพพานเป็นสุขอันยิ่ง หากเราไม่เคยชิมพระนิพพาน ย่อมไม่รู้ว่านิพพานสุขอย่างไร ดีอย่างไร เหนือกว่าสุขทางโลกอย่างไร อุปมาเหมือนสินค้าใหม่มาให้เราลองซื้อ หากไม่ให้เราทดลองชิมเลย เราคงไม่กล้าซื้อ ดังนั้น จำต้องให้ตนเองได้เสพสุขจากพระนิพพานที่หาได้ง่าย ที่เกิดขึ้นเองชั่วคราวตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน จะทำให้เราชัดเจนในตัวเองมากขึ้นทุกวันว่า นิพพานเป็นสุขอันยิ่งไม่มีสุขอื่นใดยิ่งกว่า ดังนั้น จำต้องได้รับความสุขจากความสงบอันเป็นเหตุใกล้แห่งนิพพานเสมอๆ

ในทุกเช้า ให้เราเสพความสุขสูงสุดในการเริ่มต้นของชีวิตเสมอ โดยให้เลือกช่วงที่ชีวิตมีความ สงบสงัดที่สุด เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้า ช่วงนี้ จิตจะว่างจากกิเลส มีความสงบเงียบ ธรรมชาติรอบตัวตอนเช้าจะสงบมาก ให้เราพิจารณาสภาวธรรม ความสุขจากความสงบสงัดนี้ เสพให้จิตมีความเคยชิน และเสพจนติดความสงบ เป็นภาวะพักผ่อน, ว่างจากกรรม, ว่างจากความวุ่นวาย หากเป็นคนโสดนอนคนเดียว ให้ตื่นขึ้นมาแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนตกใจไปทำกิจใดๆ ให้นอนต่อสักพักประมาณ ๑๕ นาทีถึง ๓๐ นาที โดยให้ลืมตาเบาๆ เล็กน้อยเพื่อให้มีสติรู้ตัวไม่หลับ มีความรู้ตัว รับรู้ถึงสภาวะความสงบสุขหลังตื่นนอนก่อนสิ่งอื่นใดทุกวัน จากนั้นค่อยลุกขึ้นมานั่งสมาธิต่ออีก ๑๕ นาที ถึง ๓๐ นาที อย่าตื่นนอนเช้าเกินไป จะทำให้ง่วงนอน และเกลียดภาวการณ์ง่วงหลังตื่นนอน อย่าตื่นสายเกินไป จะทำธุระส่วนตัวไม่ทัน ไปทำงานสายได้ ตื่นสัก ๕ โมงเช้ากำลังดี จนเสพความสงบสุขเสร็จ ๖ โมงเช้า ทำธุระส่วนตัวเสร็จ ๗ โมงเช้า เดินทางถึงที่หมาย ๘ โมงเช้า อย่างนี้กำลังดี พอดีพอเพียง ไม่รีบร้อนเกินไป ไม่ชักช้ากินไป หากเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ความสงบสุขในช่วงเช้าและบรรยากาศธรรมชาติรอบตัวที่สงบเงียบจะหาได้ยากขึ้น ให้ทั้งคู่สามีภรรยา ปลีกตัวเองไปอยู่สงัด คนหนึ่งอาจออกไปนั่งสมาธิในสวนรอบบ้าน คนหนึ่งนั่งสมาธิในห้องนอนต่อไป (ใครตื่นก่อนก็ทำก่อน หรือเลือกออกไปนั่งข้างนอกก่อน) ทำอย่างนี้ จิตจะสงบสงัดมีพลังมาก จิตจะตรงต่อนิพพาน คือ ความสงบยิ่ง ความว่างไปจากทุกข์และกิเลสตัณหา ความสูญไปแห่งกรรมใดๆ อันจะทำให้ทั้งวันจิตประคองสภาวะนี้ต่อไป เมื่อทำกิจอื่นใด ก็ประคองสภาวะจิตที่สงบสงัดนี้ ดุจ งูแมวเซา ที่ดูนิ่งเชื่องช้า แต่หากเจอเหยื่อก็ฉกได้ทันทีอย่างรวดเร็ว อย่าทำตัวเหมือนสุนัขป่า ที่รุมกัดไล่ล่าเหยื่อโดยใช้พวกพ้อง ซึ่งไม่มีความสงบสงัด ความสุขุมลุ่มลึกในการทำงาน

บุคคลที่จิตปราศจากความสงบสุขนั้น จิตจะอ่อนล้าและแสวงหาการเติมเต็มอยู่เป็นเนืองนิตย์ ดังนั้น ยิ่งไถลออกนอกเส้นทางแห่งพระนิพพาน ดังนั้น การตั้งจิตตรงต่อนิพพานทุกเช้า ด้วยการเสพความสุขจากความสงบสงัด ความไร้กรรม ไร้ความวุ่นวาย ไร้กิเลสเครื่องเศร้าหมองนี้ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีพลังสู้ในแต่ละวัน มีความสุข มีกำลังใจในการทำงานแล้ว ยังเป็นเสมือน มงคล อันสูงสุดให้ตนเองในทุกเช้า ทำให้ทุกวันมี พระนิพพานเป็นมงคลสูงสุด ก่อนออกจากบ้านทุกวันอีกด้วย

๒.    สังคมปัจจัย คือ การเปิดเผยตัวตนเพื่ออำนวยมวลชน (ตนในสังคม)
ความเห็นแก่ตัว การไม่อำนวยประโยชน์แก่มวลชนใดๆ การหมกตัวอยู่ผู้เดียว การหนีสังคมเข้าป่านั่งสมาธิ ทำให้ตนเองต้องต่อสู้กับกิเลสเพียงลำพัง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการอุทิศตนสร้างประโยชน์สุขแก่สังคมแล้ว การบรรลุจะยากยิ่งกว่า อุปมาเหมือน คนที่ต่อสู้กับศัตรูที่ฝีมือเท่ากันตัวต่อตัว เมื่อต่อสู้กันต่างก็รู้เท่าทันกัน ไม่รู้ผลแพ้ชนะ กลับไปฝึกฝนตนเอง ก็กลับมาสู้กันใหม่ ก็ย่อมให้ผลเช่นเดิม ไม่อาจชนะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดลงได้เสียที ดังนี้ การหนีไปนั่งสมาธิคนเดียวจึงบรรลุยากกว่าการบำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลาตนเองและเพิ่มพละห้า (ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา) การบำเพ็ญบารมี เปิดเผยตนเองเข้าสู่สังคมเสมอ เช่น การช่วยออกแรงในงานศพบ่อยๆ ทำให้เราได้เห็นอนิจจังในชีวิตผู้อื่น ได้ปลงก่อนความตายจะมาถึงตนเอง ได้อาศัยผู้อื่นซึ่งเป็นคนเหมือนตนเอง สอนตนเอง เรียนรู้ตนเอง ได้อาศัยผู้อื่นสั่งสอนตนเอง ขัดเกลาตนเอง อุปมาก็เหมือนนักสู้ ที่มีทั้งกองทัพพรรคพวก และกุนซืออย่างดี เมื่อต้องต่อกรกับคนที่มีฝีมือทัดเทียมกับตนเพียงคนเดียว ความได้เปรียบย่อมมีมากกว่า

บุคคลย่อมมีจุดอ่อนอยู่ในตัว มีความไม่ดีงามอยู่ในตัว มีกิเลสในตัว แต่บุคคลจะเอาชนะกิเลสได้ ย่อมต้องเห็นตัวตนของ กิเลสก่อน ย่อมต้องรู้จักกิเลสใสตนอย่างดี ประดุจนักรบชั้นยอดย่อมต้องรู้กำลังความสามารถศัตรู รบร้อยครั้งย่อมได้ชัยชนะทั้งร้อยครั้ง การบรรลุธรรม บุคคลย่อมต้องต่อสู้กับใจตนเอง ทว่าใจของเรานั้นอุปมาก็เหมือนร่างกายของเรา แม้ร่างกายของเรายังต้องใช้กระจกส่องดูจึงเห็นได้ ไฉนเลยกับใจเรานี้ อยู่แบบไม่เห็นตัวตน หลบซ่อนอยู่ภายใน ย่อมต้องยากแก่การเฝ้าดู ดังนั้น หากจะเอาชนะใจตน ก็ต้องรู้จักใจตนก่อน จะรู้จักใจตนได้อย่างไร ก็ดูใจตนเองนั้นยากยิ่ง ดังนั้น ให้เอา สังคมเป็นกระจกส่องใจตน กล่าวคือ บุคคล ควรแสดงตัวตนของตนเองอันเป็นเอกลักษณ์ที่แท้ของตน ออกมาสู่สังคม เช่น ความอ่อนแอในใจลึกๆ ที่อายและเกรงว่าจะมีผู้รู้ว่าตนอ่อนแอ, ความทุกข์ความกังวลเบื้องลึกที่เกรงว่าผู้อื่นจะดูแคลนว่าตนล้มเหลว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เรามักกลบเกลื่อนปิดบังผู้อื่น แล้วเก็บกดซ่อนไว้ให้ลึกที่สุด จากนั้นก็เสแสร้งแสดงตัวตน ที่เราต้องการให้ผู้อื่นเห็นและเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นในอีกรูปแบบหนึ่งออกมาแทนที่เดิม กลายเป็นผู้ดีจอมปลอมที่ต่อหน้าทำดี ลับหลังเห็นแก่ตัว, หรือเด็กกล้าแสดงออก แต่ลับหลังอายที่จะกระทำความดี, หรือผู้หญิงที่ดูซื่อใสแต่งตัวน่ารัก แต่เบื้องหลังตบกันในร้านสะดวกซื้อ, หรือผู้ชายกล้ายกพวกตีกัน แต่ไม่กล้าที่จะปกป้องคนดี และไม่กล้าปราบคนชั่ว, ผู้มีอายุที่ต่อหน้าทำตัวเป็นผู้ทรงภูมิ แต่ลับหลังขาดการเรียนรู้สิ่งที่เปลี่ยนไปของสังคมรอบตัว อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ แสดงถึง ตัวตนภายในลึกๆ ที่อ่อนแอ ของคนประเภทต่างๆ ในสังคม เป็นการเก็บกดและหลบซ่อน อัตตา ของตนให้ลึกเข้าไปยิ่งขึ้นทุกวัน เหมือนการหลอกตัวเองทุกวัน ปรุงแต่งตัวเองให้เป็นอย่างอื่นทุกวัน เป็น อุปทานในอัตตา คือ ความหลงผิดในตัวตนของตน ตัวตนของตนแท้แล้วไม่ใช่เช่นนั้น ไปหลงยึดว่าตนเป็นอีกอย่างหนึ่งไป ดังนั้น การจะเอาชนะ อัตตา และ อุปทาน ตลอดจนกิเลสตัณหาต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจตนได้นั้น จำต้อง เอาออกมาภายนอก ให้สังคมรอบข้างได้เห็น ได้ตรวจสอบ ได้เป็นกระจกส่อง และได้ช่วยในการบีบคั้นขัดเกลา อย่างถูกวิธี เช่น ไม่ใช่ทำเลวให้คนในสังคมมองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่น่าอาย จนกลายเป็นแบบอย่างใหม่ให้เยาวชนทำตาม แต่หากจิตใจไม่อาจห้ามการทำเลวนั้นได้ ก็ให้แสดงตนเองออกมา บอกกล่าวแก่คนรอบข้างอย่างเปิดเผยว่า ตนนั้นได้พลาดพลั้งทำไปแล้ว ทำอย่างไรดีจะเลิกได้ สังคมก็จะช่วยออกแรงบีบเค้นให้เราเอาชนะใจตนเอง โดยที่เราใช้แรงตัวเองน้อยมากในการเอาชนะใจ เท่ากับมีกองทัพรบกับกิเลสในใจตนเพิ่มนั่นเอง สังคมจะคอยตรวจตราเราทุกวินาที เราจึงเผลอไม่ได้ จำต้องมีสติที่จะไม่ถูกใจตนเองครอบงำไปทำความชั่ว

นอกจากนี้ การแสดงตัวตนที่แท้ ยังทำให้เรากล้ายืนอยู่ในสังคมอย่างเปิดเผย สังคมเปิดเผยไม่หลอกลวงกัน สังคมมีความยอมรับให้อภัยกัน และช่วยเหลือให้แต่ละคนนั้นฝ่าฟันเอาชนะใจตนเองให้ได้ ตรวจตราใจให้แก่กันและกัน ไม่เป็นสังคมแห่งผู้ดีจอมปลอม การแสดงความเลวและจุดอ่อนของตนต่อสังคมนี้ ไม่ใช่แสดงด้วยความหน้าด้าน แต่เป็นการ แสดงหลังห้ามใจตนเองไม่ได้ ต่างหาก กล่าวคือ เมื่อแพ้ใจตนเองแล้ว ให้หาสังคมมาช่วยเป็นเครื่องตรวจสอบควบคุมตนเองทันที เพื่อไม่ให้ตนเองที่อ่อนแอและพ่ายแพ้ใจ จะต้องพ่ายแพ้ใจจนกระทำความชั่วซ้ำอีก ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การที่เราสละตนทำดีเพื่อคนอื่น แต่เมื่อตนพลาดพลั้งก็กล้าที่จะเปิดเผยออกมานั้น จะเท่ากับเป็นการเผยจุดอ่อนของตน เป็นเป้าล่อมาร กล่าวคือ คนในสังคมที่มีจิตมาร จะคอยหาทางยกตนเอง เหยียบผู้อื่น และแก่งแย่งแข่งขันอยู่แล้ว หากเราทำดีกว่ามาร มารอิจฉา เมื่อเราพลาดพลั้งก็แสดงความพลาดของตนออกมา มารจะรุมซ้ำ ทำให้เราเข็ดขยาดไม่อยากทำผิด เป็นการเสริมแรงฮึดให้เราสู้กิเลสในใจตน ใช้ แรงมารภายนอก ปราบมารภายในใจตน นอกจากนี้ หากในสังคมมีคนมีเมตตา เขาย่อมจะให้กำลังใจเรา สู้กับใจตนเอง ดังนั้น เราจึงได้ทั้งกำลังใจจากคนดี และการซ้ำเติมจากมารให้เข็ดขยาดกลัวการพ่ายแพ้ใจตนเอง

๓.    กรรมปัจจัย คือ การชดใช้หนี้กรรมด้วยขันติและอุเบกขา (ทนในกรรม)
ปัจจัยที่สาม ที่ส่งผลต่อการบรรลุธรรมได้เร็วขึ้นหรือช้าลง ก็คือ กรรม โดยจะส่งผลให้เราต้องรับวิบากกรรมต่างๆ เช่น ต้องหลงทางเดินทางผิด ต้องทุกข์ทรมานนานกว่าจะได้เห็นธรรม ดังเช่น พระสงฆ์บางรูปต้องเข้าป่าหาธรรม และรับทุกขเวทนา ชดใช้กรรมด้วยการธุดงค์ ในฆราวาสนั้น ก็ชดใช้กรรมด้วยการทำงานหนัก การต้องกระทบกระทั่งกับผู้คน แต่หลายครั้ง การใช้ชีวิตของฆราวาสปราศจากความสงบสงัด ปราศจากการพุ่งจิตตรงต่อนิพพาน ไม่มีความคิดที่จะแสวงหาความสุขอันยิ่ง คิดว่าทีมีคงมีโฆษณาบอกเราเองว่ามี สุขใหม่ๆ อะไรให้เสพบ้าง เพราะสุขเก่าๆ ก็ดับหมดแล้ว เคยสุข แล้วก็หายสุข เบื่อของเก่าแล้ว ต้องหาของใหม่ไปเรื่อยๆ ดังนั้น ฆราวาสส่วนใหญ่ จึงใช้ วิบากกรรมดี ไปผิดทาง กล่าวคือ ใช้ไปในทางสนองกิเลสตน แทนที่จะนำ วิบากกรรมดี มาไถ่ถอน วิบากกรรมเลว ที่บดบังดวงตาแห่งธรรมอยู่ ฆราวาสจึงห่างไกลจากความสุขแท้ไปเรื่อยๆ วิบากกรรมเลวบดบังธรรมแล้ววิบากกรรมดีก็ลากเข้าสู่กองกิเลสอีก ทั้งกรรมดีและกรรมเลว พุ่งเข้าสู่ อวิชชา ทั้งสิ้น ดังนั้น ฆราวาสในปัจจุบัน จึง โง่เขลา ไม่ใช่ ผู้ฉลาด ในการใช้ กรรม เพื่อยังผลให้กรรมส่งตนถึงนิพพานได้ อันว่ากรรมนั้นก็เป็นธรรมชาติ ย่อมมีธรรม มีสภาวะแห่งธรรม ที่เอื้อประโยชน์แก่บุคคลจะบรรลุธรรม หากสามารถจัดการได้ดี

ดังนั้น เมื่อกรรมเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เป็นธรรมชาติ จึงเป็นทรัพยากรที่ไม่ต้องแย่งจากใคร เป็นของฟรี ของดีในโลก ที่ได้เท่าเทียมกันหมดทุกคน บุคคลจึงต้องรู้จักบริหารการใช้ ทรัพยากรกรรม นี้ เพื่อประโยชน์สุขสูงสุดอันยิ่งแห่งตน อันได้แก่ กรรมปัจจัย อันหนุนนำส่งตนถึงฝั่งพระนิพพานนั่นเอง บุคคลจะสามารถเข้าใกล้พระนิพพานได้ง่าย ประดุจขอนไม้ที่ถูกกระแสน้ำพัดพาไป หากไม่ติดข้างตลิ่งใดเสียก่อน ย่อมลงลอยจนออกสู่ทะเลได้ในที่สุด ฉันใดก็ฉันนั้น การใช้ กระแสกรรมเป็นเครื่องพัดพาหนุนนำให้บุคคลไหลตรงเข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน ก็สามารถทำได้บุคคลจึงต้องบริหาร กรรม อันเป็นทรัพยากรที่ไม่ต้องแย่งชิง เป็นของฟรีที่ทุกคนได้รับเท่าเทียมกันจากธรรมชาติ เป็นธรรมจากธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ หลงบุญแล้วก่อบาปสนองกิเลส แต่รู้จักใช้กรรมให้เป็นทางสู่นิพพาน ในสองลักษณะ คือ

๓.๑) วิบากกรรมดี
คือ ผลแห่งการทำดีในอดีต ให้เราในปัจจุบันได้เสวยผลบุญ เป็นความสุขต่างๆ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง, ร่างกายแข็งแรงกำยำ, รูปร่างหน้าตางดงาม, หน้าที่การงานดี, ความนิยมศรัทธา, ลาภสักการะ ฯลฯ ให้นำผลบุญที่ได้รับในปัจจุบันนี้ ไปสร้าง กรรมปัจจุบัน โดยการทำบุญแก้กรรมให้ถูกวิธี เช่น มีกรรมต้องทำให้โง่ ก็ทำบุญเป็นหนังสือให้เด็กกำพร้าที่ขาดแคลนหนังสือ แล้วอธิษฐานจิตว่า ขอให้ผลบุญนี้จงเป็นเครื่องไถ่ถอนกรรมเก่า ชดใช้เจ้ากรรมนายเวร ขอให้อโหสิกรรมต่อกัน อย่าให้กรรมบดบังดวงตาเห็นธรรม ขอให้ผลบุญหนุนนำเปิดดวงตาเห็นธรรม เข้าสู่ฝั่งพระนิพพานพ้นทุกข์ พบสุขสงบยิ่งโดยเร็วเทอญ” ให้ทำ ทาน เช่นนี้ สม่ำเสมอ และอธิษฐานจิตให้ชัดเจน หากยามทำบุญไม่อธิษฐานจิตให้ชัด ผลบุญจะไปรอในชาติภพหน้าตาม ลักษณะบุญที่ทำ ดังนั้น หากต้องการสิ้นภพซึ่งดีงามที่สุดกว่าภพสวรรค์ใดๆ ในชาตินี้ คือ พระนิพพาน ต้องอธิษฐานจิตทำบุญหนุนให้ได้นิพพานในชาติปัจจุบันอย่าได้คลาดแคล้ว เพราะหากพลาดในชาตินี้ ชาติหน้าก็ไม่แน่นอนว่าจะเกิดมาได้พบได้เจอพระพุทธศาสนาอย่างนี้อีกหรือไม่ และจะตกต่ำทำชั่วเพราะขาดธรรมะสั่งสอนไปถึงอบายชั้นไหน ตกต่ำกว่าภพภูมิเดิมที่ตนจุติลงมาหรือไม่ ก็ไม่แน่
  
๓.๒) วิบากกรรมเลว
คือ ผลแห่งการทำความเลวในอดีตชาติของเราเอง ส่งผลให้ต้องรับวิบากกรรมเลวในชาตินี้ เช่น ทำให้ต้องเป็นคนยากจน, ขาดแคลนวิชาความรู้, ไม่มีอำนาจวาสนา, ขาดญาติมิตรบริวารคอยให้การช่วยเหลือ, ต้องเจ็บป่วยประสบอุปสรรคในการฝึกจิต ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ หากบริหารไม่ดี ก็กลายเป็นเครื่องขวางกั้นการบรรลุธรรมได้ แต่หากบริหารอย่างดี ก็จะกลายเป็นกระแสน้ำที่มีแรงพัดพาเราพุ่งตรงสู่ฝั่งพระนิพพานแต่อย่างเดียว ให้เราใช้ ขันติบารมีและอุเบกขาบารมี ควบคู่กัน ในการชดใช้กรรม เมื่อต้องพบกับความทุกข์ทั้งกายหรือใจก็ตาม ให้มีสติรู้เท่าทันทีว่าเป็นผลแห่งกรรมเลวของเราในอดีตชาตินั่นเอง จะโทษใครไม่ได้ ต่อให้ใครมาทำร้ายเราในปัจจุบันชาติก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นผลจากกรรมเลวในอดีตชาติของเราก่อไว้ทั้งสิ้น เช่นนี้ จะทำให้ได้ กรรมานุสติ จากนั้นให้ใช้ ขันติบารมี อดทนต่อสิ่งยั่วยุหรือคนที่กระทำกรรมต่อเรา พวกเขาเป็นแค่เครื่องจักรกลแห่งกรรม ที่เดินไปตามสมดุลแห่งธรรมชาติ เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิดต่อเรา เราเองเป็นผู้ก่อกรรมไว้ จึงต้องมารับกรรม จึงไม่ถือโทษโกรธแค้น ให้อภัยและรับแรงกระทำนั้นอย่างอดทนอดกลั้น ไม่โทษใครเด็ดขาด จากนั้น ให้ปล่อยวางใจคลายลงเป็นกลาง อย่ายินดีในสิ่งที่เขาทำเลวต่อเรา อย่ายินร้ายในสิ่งทีเขาทำเลวต่อเรา เราไม่ทำเลวอย่างเขา ไม่ยินดีด้วย ไม่สรรเสริญ แต่เราก็ไม่ยินร้าย ไม่อาฆาตพยาบาทโกรธเคือง ใช้ อุเบกขาบารมี วางใจเฉยเป็นกลางไม่เอนเอียงอย่างนี้ จิตจะเข้มแข็งมีพลังเหนือกิเลสความโกรธได้มากขึ้นทุกครั้งที่กรรมส่งผลต่อเรา เราก็กล้าแกร่งขึ้น หนุนนำให้เราอยากพ้นไปจากบ่วงกรรม อยากให้กรรมหมดสิ้นไป อยากใช้หนี้กรรมให้หมด ไม่อยากก่อกรรมเลวเพิ่ม แน่นอนว่า ศีล ๕ ย่อมสมบูรณ์โดยไม่ต้องท่องจำว่ามีอะไรบ้าง เพราะความกลัวอำนาจแห่งกรรมนี่เอง และน้อมนำจิตของเราเข้าสู่ นิพพาน เพียงอย่างเดียว เกิดความ ศรัทธา เป็นหนึ่งในพละห้าที่กล้าแกร่งให้เราไม่คลอนแคลนจากนิพพาน

๔.    ธรรมปัจจัย เป็นผู้ถือสิ่งรอบตัวเป็นครูให้แง่คิด (ธรรมในสรรพสิ่ง)
ผู้จะหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสได้ จำต้องมี ปัญญา มี ดวงตาเห็นธรรม ดังนั้น หากในใจคิดแต่อยากได้นั่นนี่ ใจก็จะมีแต่กิเลสหมักหมม จำต้องฝึกใจ ให้มุ่งตรงหาธรรมตลอดเวลา เป็นผู้ ปกติเรียนรู้ตลอดชีวิต จากสรรพสิ่งรอบตัว โลกจึงเปลี่ยนเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่สำหรับเขา สังคมเปลี่ยนเป็นครูบาอาจารย์แก่เขา และสรรพสิ่งก็ผันตัวเป็นไตรปิฎกเป็นคัมภีร์แก่เขา บุคคลที่ปกติ ไม่ในใจธรรม ในใจไม่แสวงหาธรรม ไม่มองหาธรรม แยกแยะธรรมไปเสียจากตน เป็นบุคคลผู้ปกติหนีธรรม ไม่ทำตนให้ดำรงอยู่ในธรรม มีอวิชชาคือความหลงผิดครอบงำตนเองตลอดเวลา จักไม่มีโอกาสบรรลุธรรม ไม่หลุดพ้นทุกข์ ไม่พบสุขอันสูงสุดแท้จริง บุคคลประเภทหลังนี้ แม้บวชเรียนเป็นภิกษุในบวรพุทธศาสนา ก็หาใช่ศิษย์ของตถาคตไม่ หาได้ดำรงตนให้อยู่ในพระธรรมวินัยไม่ เป็นภิกษุผู้ไปเสียจากธรรม ละทิ้งธรรมวินัย ห่างเหินและหมางเมินจากธรรม เป็นผู้เสียเปล่าไปชาติหนึ่ง เป็นผู้เกิดมาสนองสมมุติโดยแท้ จักหาความจริงอันใดจากบุคคลเหล่านี้ เป็นสิ่งเปล่าเลยจากประโยชน์ในประการทั้งปวง

อันสัตบุรุษ ผู้มีใจแสวงหาธรรม มีธรรมเป็นมิตรคู่กาย มีธรรมเป็นครูบาอาจารย์ มีธรรมเป็นจุดหมายแห่งการมอง การฟัง การสัมผัส การรับรส การรับกลิ่น มีอายตนะแห่งธรรม เพื่อรองรับธรรม บุคคลผู้นั้นพึงได้ชื่อว่าสัตบุรุษผู้มีอายตนะธรรม เป็นอายตนะอันนำไปสู่การสิ้นไปแห่งกิเลสอาสวะทั้งปวง เป็น นิพพานอายตนะ คือ การรับรู้ธรรมจากสรรพสิ่งรอบตัวเป็นอาจิณ จึงจัดเป็น สัตบุรุษโดยแท้ 

อันอสัตบุรุษ ผู้มีใจห่างเหินจากธรรม มองหาความไม่เป็นธรรมเพื่อสนองกิเลสตน มีปกติเป็นผู้อยุติธรรมเป็นนิตย์ เป็นผู้ไม่แสวงหาธรรม ไม่รับรู้ธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม สร้างความอยุติธรรมให้เกิด เสพกิเลสอันมิใช่ธรรมเป็นเครื่องยังสุขชั่วคราว เป็นผู้ปราศจากไปเสียจากการได้บรรลุธรรม เป็นผู้มีเปลือกนอกแข็งกระด้าง ไม่อ่อนน้อมต่อธรรม ไม่พร้อมรับธรรมตลอดเวลา ไม่พร้อมรับธรรมจากทุกสรรพสิ่ง เป็นผู้มีเนื้อในอ่อนแอปวกเปียก ไม่อาจทนรับสภาวธรรมความเป็นจริงโดยรอบตัวได้ จึงหลบหายหนีจากธรรม เกรงกลัวธรรมอันแท้จริงที่เปิดเผยทุกเมื่อ เป็นผู้ชอบบิดเบือนธรรมอยู่เสมอ เป็นผู้หลอกตนเองให้อยู่ในเปลือกหอยอันโง่งมไปตลอดกาลนาน

ดังนั้น บุคคลจำต้องทำตนเสมือนว่าตนเป็นนักเรียนที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อทุกสิ่ง มิใช่เป็นคนปกติแข็งกระด้าง ดื้อด้าน ดั่งไม้อ้อที่แข็งไม่อาจดัดให้ดีกว่าเดิมได้ เป็นบุคคลที่ประจบสอพลอเอาใจแต่ผู้เหนือกว่าตนในด้านต่างๆ แต่ข่มเหงรังแกบุคคลที่ด้อยกว่าตนในด้านต่างๆ มีปกติจ้องดูความผิดพลาดและจุดอ่อนของผู้อื่นเพิ่มซ้ำเติมให้ตนสูงขึ้นไปเป็นเนืองนิตย์ มีเท้าวางอยู่บนผู้คนที่อ่อนแอจำนวนมาก มีมือเทิดทูนผู้เหนือตนไว้เสมอ เป็นอสัตบุรุษผู้ไม่น่าคบ เป็นผู้ไปเสียจากธรรม เป็นผู้ไปเสียจากธรรมวินัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลจำต้องพร้อมที่จะให้ทุกสิ่งสอนตน พร้อมรับสรรพสิ่งเป็นครู แม้แต่คนเลวที่สุด ยังสามารถสอนคนให้เห็นความเลวที่ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างได้ฉันใด สรรพสิ่งอันมีทั้งดีและเลวประกอบกัน ย่อมต้องสามารถสั่งสอนเป็นครูบาอาจารย์ให้สัตบุรุษได้ฉันนั้น เพียงบุคคลนั้น ตั้งจิตพุ่งตรงต่อธรรม อ่อนน้อมต่อธรรม อ่อนน้อมต่อสรรพสิ่งและทุกคนรอบข้าง เขาย่อมได้รับธรรมอยู่เป็นเนืองนิตย์ เป็นผู้ที่พระศาสดาชื่นชม เป็นผู้ที่ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม และมีโอกาสได้ดวงตาเห็นธรรมตลอดเวลา ทั้งในยามลับหลังจากพระศาสดาหรือครูบาอาจารย์ และทั้งในยามที่พระศาสดาหรือครูบาอาจารย์ปรากฏตัวก็ตาม เขาคือ ผู้พร้อมแก่การบรรลุธรรมทุกเมื่อ เป็นผู้ปกติ ไม่ประมาทในธรรม เห็นธรรมอยู่เสมอ บุคคลจึงไม่พึงแยกแยะแต่ว่า ธรรมนั้นมีอยู่แต่ในองค์ศาสดาธรรมนั้นมีอยู่แต่ในองค์ครูบาอาจารย์ธรรมนั้นมีอยู่แต่ในตำราพระคัมภีร์ธรรมนั้นมีอยู่แต่ยามนั้นยามนี้ธรรมนั้นมีอยู่แต่สถานที่นั้นสถานที่นี้ธรรมนั้นมีอยู่แต่ในฝูงชนคนส่วนใหญ่ ฯลฯ บุคคลผู้เป็นสัตบุรุษแสวงหาธรรมอยู่เสมอ พึงไม่แยกแยะอย่างนั้น พึงไม่สรุปจำกัดแต่ว่าธรรมมีอยู่เฉพาะแต่ที่นั้น หากแต่เห็นสรรพสิ่งล้วนเป็นธรรมสอนตนตลอดเวลา พระศาสดาจึงอยู่กับเขาตลอดเวลา พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมสถิตอยู่กับเขาตลอดเวลา พระไตรปิฎกจึงอยู่กับเขาทั้งมวลโดยมิต้องอ่านหรือจดจำ เขาย่อมเป็น ธรรมถึก ที่เหนือกว่าผู้แตกฉานในทุกคัมภีร์ เขาย่อมเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยง่าย

๕.    วิมุติปัจจัย คือ มองหาธรรมที่เป็นแก่นในเปลือกสมมุติ (วิมุติในสมมุติ)
แม้นว่าจะเป็นสัตบุรุษผู้ปกติแสวงหาธรรม มองเห็นสรรพสิ่งเป็นธรรมแล้ว ยังไม่อาจบรรลุธรรมได้ด้วยการใช้ อายตนะทางกาย อาจด้วยเพราะขีดจำกัดในการรับรู้ของร่างกายมนุษย์นั้นไม่เพียงพอต่อการบรรลุธรรม จำต้องใช้ อายตนะทางใจ หรือ จิต ในการเข้าถึงธรรม ไม่อาจจำ, นึก, คิด, ทึกทักเอาเองได้ สรรพสิ่งแม้เรามองว่าเป็นธรรม กลับยังไม่ใช่ธรรมแท้ เป็นเพียง สมมุติธรรม สรรพสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยอายตนะทางกายจึงเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น ไม่ใช่ธรรมแท้ แต่ในสมมุตินั้นแหละที่มีธรรมซ่อนอยู่ เรียกว่า วิมุติธรรม คือ แก่นแท้แห่งธรรมนั่นเอง จำต้องพิจารณาทุกสรรพสิ่งว่า แท้แล้วคืออะไร เช่น ดาวดวงหนึ่งเมื่อแยกอณูย่อยๆ ให้เล็กลงไปเรื่อยๆ แล้วที่สุดประกอบมาจากอะไร, ดวงอาทิตย์เมื่อฉายแสงทุกวันแล้วท้ายที่สุดจะยังคงฉายอยู่ต่อไปหรือไม่, สรรพสิ่งที่คงที่นิ่งอยู่ จะคงที่อยู่เช่นนั้นไปได้หรือไม่ อย่างไรเพราะอะไร ฯลฯ คำถามพวกนี้เอง คือ เครื่องกะเทาะเปลือกสมมุติธรรม ให้ลอกออก เพื่อให้ วิมุติธรรม แสดงตนเองออกมา ปรากฏตนออกมา จิตจึงได้น้อมรับเอา รู้สภาวธรรมแท้ที่เป็นแก่นซ่อนอยู่ในนั้นได้ สรรพสิ่งนั้น เป็นธรรม แต่ธรรมนั้นเป็นอย่างที่เราเห็นหรือไม่ จะเป็นเช่นนั้นยาวนานแค่ไหน ท้ายที่สุดจะเป็นอะไร

เราจึงถือว่า สรรพสิ่งเป็นธรรม และ ธรรมจากสรรพสิ่งเป็นสมมุติ และ สมมุตินั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งธรรม และ เข้าใจความหมายในสัญลักษณ์แห่งธรรม ย่อมเข้าถึงวิมุติธรรม ได้ในที่สุด อุปมาเหมือนการปลอกหัวหอม ทีละชั้นๆ ออกไป เพื่อพิจารณาว่าหัวหอมนี้มีอะไร คืออะไรกันแน่ ประกอบมาจากอะไร จนท้ายที่สุดแล้วอาจไม่พบอะไรเลย ณ จุดนั้นเอง การเรียนรู้ของจิตได้เกิดขึ้น จิตได้รับสภาวธรรมใหม่เข้าไป มีการพิจารณาสิ่งที่เปลี่ยนไปเป็นลำดับจนถึงท้ายที่สุด จิตย่อมเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่เป็นการเห็นด้วยการหยั่งรู้ สิ่งที่ปรากฏในท้ายที่สุดของการปลอกหัวหอม ย่อมไม่เหลืออะไรเลย เป็นความว่างเปล่า ความว่างเปล่าหาใช่ วิมุติธรรม แต่ ณ จุดที่จิตก้าวลงสู่ความว่างเปล่านั้นเอง จิตย่อมเห็นสภาวธรรมที่มองไม่เห็น ย่อมเกิดปัญญาหยั่งรู้ได้ และได้ คำอธิบายเฉพาะตน ที่เรียกว่า ปัจจัตตังนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเห็นความว่างแล้ว ความว่างก็ยังไม่ใช่วิมุติธรรม แต่การก้าวลงสู่ความว่างของจิตนั้นเอง ทำให้จิตก้าวทะลุ รู้แจ้งแทงตลอดถึง แก่นแท้เนื้อใน ของสรรพสิ่ง คือ วิมุติธรรม ย่อมมีปัญญาอธิบายสภาวธรรมที่พบนั้นได้อย่างแจ้งชัด

ปัจจัยทั้งห้าประการนี้ ล้วนเป็นปัจจัยหนุนเนื่องให้ฆราวาสบรรลุธรรมได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็น กรรมปัจจัย ที่เป็นแรงหนุนให้มีกำลังใจหนีกรรมสู่ฝั่งพระนิพพาน, สังคมปัจจัย ที่ขับดันและคอยจับตาตรวจจิตเราตลอดเวลา, สุขปัจจัย ที่ทำให้เรามีกำลังใจมีความสงบสุขมีพลังสู้กิเลส,ธรรมปัจจัย ทำให้เราพิจารณาธรรมอยู่ตลอดเวลา และ วิมุติปัจจัย ที่ทำให้เราไม่หลงเชื่อในสิ่งต่างๆ เพียงแค่ตาเห็นแต่คราวแรก ทำให้เรามองทะลุลึกซึ้งไปถึงแก่นแท้ข้างในของสรรพสิ่ง อันเป็นเหตุให้เกิด การบรรลุธรรม นั่นเอง ขอเพียงดำเนินชีวิตให้ทุกๆ วันวนเวียนอยู่ในปัจจัยทั้งห้า นี้อย่าให้ขาดก็จะบรรลุได้

No comments:

Post a Comment