Saturday

มรรคมีองค์แปด


  • คนเอ๋ยคนจะมีชีวิตอยู่สักกี่วันเชียว ทำไมไม่เหลียวมองความจริงบ้าง โลกนี้ใครเป็นเจ้าของมันหนอ มนุษย์ถึงได้ลุ่มหลงเห่อเหิมในตัวเองจนหลงลืมความเป็นจริง
  • คนกินสัตว์กินพืชยืดชีวิต พืชมีสิทธิ์กินดินสิ้นสงสัย วัฏจักรเวียนมาน่าสนใจ ผลสุดท้ายพื้นดินก็กินคน อันความตายชายนารี หนีไม่พ้น จะยากดี มีจน คนทั้งหลาย ถึงเวลาถึงร้องขอก็ต้องตาย ติดตัวได้คืออะไร ไร้ตัวตน อันลาภยศ หาบไปมิได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน แล้วร่างตนเขายังเอาไปเผาไฟ
  • เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้สัจธรรม 
    • โลกนี้คือโรงเรียน
      • เรียนรู้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    • โลกนี้คือสนามสอบ
      • ใครสอบผ่าน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
      • ใครสอบไม่ผ่าน ก็ต้องกลับมาสอบใหม่
  • สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    • ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น แน่นอน ความทุกข์ทั้งหลายเราสร้างขึ้นมาเอง ไม่มีพระเจ้าดลบันดาล แต่เราเป็นผู้ตลบันดาลตัวเราเอง
    • มนุษย์เอย ใครบ้างไม่เคยเห็นความตาย หลายคนเคยสูญเสียมาแล้ว คนรู้จัก ญาติพี่น้อง คนรู้จัก แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องตายเหมือนกัน
    • ความยึดมั่นถือมั่น ความหลงผิด ความไม่รู้ในความจริงทั้งหลาย คือสาเหตุแห่งความทุกข์โศก
    • ความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ได้ คนประมาทย่อมมัวเมากับทรัพย์สมบัติ มัวเมาอยู่กับความสนุกสนาน
  • มนุษย์เอ๋ยจงหันมามองความจริงกันเถิดว่า
    • ร่างกายนี้เป็นของชั่วคราว ดุจโรงแรมที่พักชั่วคราว เมื่อหมดสัญญากันแล้ว เราก็ต้องจากไป อย่ามัวอาลัยอาวรณ์อยู่เลย
    • ทรัพย์สมบัติ ลูก เมีย สามี ภรรยา ล้วนต้องแตกดับ กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีใครเป็นเจ้าของของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของของอะไร กายนี้ว่างเปล่า ใจนี้ว่างเปล่า โลกนี้ล้วนแล้วแต่ว่างเปล่า คือว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ แม้แต่ร่างกายของตัวเอง ที่สุดแห่งกายคือตายไปสู่ความว่างเปล่า ที่สุดแห่งใจคือกลับคืนสู่พระนิพพาน
    • ความทุกข์ทั้งหลายจะดับไปก็ต่อเมื่อเราถอนความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตนเราออกไปเสียได้
  • มรรคมีองค์แปด หนทางความดับทุกข์
ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)  เป็น
อย่างไรเล่า ? คือความรู้อันใดเป็นความรู้ในทุกข์
เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ 
เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์
เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาทิฏฐิ.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) เป็น
อย่างไรเล่า ? คือ ความดำริในการออกจากกาม ความ
ดำริในการไม่มุ่งร้าย ความดำริในการไม่เบียดเบียน.
ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสังกัปปะ.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ) เป็น
อย่างไรเล่า ? คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่
จริง เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส่อเสียด เจตนาเป็น
เครื่องเว้นจากการพูดหยาบ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการ
พูดเพ้อเจ้อ. ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวาจา.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? คือ เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้
ให้แล้ว เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดใน
กาม. ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมากัมมันตะ.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย สาวกของพระอริยเจ้า
ในกรณีนี้ ละการหาเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย ย่อมสำเร็จความ
เป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ. ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรา
กล่าวว่า สัมมาอาชีวะ.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมทำ
ความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ย่อม
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่
เกิดไม่ให้เกิดขึ้น ; ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อม
พยายามปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะ
ละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว ; ย่อมทำความ
พอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ย่อม
ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไมเกิดให้
เกิดขึ้น ; ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม
ปรารภความเพียร ย่อมประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่
ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์
ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว.
ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาวายามะ.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) เป็น
อย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้
พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความ
ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็น
เวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความ
ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นจิต
ในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มี
สัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจใน
โลกออกเสียได้ ; ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มี
สัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจใน
โลกออกเสียได้. ภิกษุ ทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสติ.

ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ) เป็น
อย่างไรเล่า ? ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจาก
กามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึง
ปฐมฌาน อันมีวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก
แล้วแลอยู่ ; เพราะความที่วิตก วิจารทั้งสองระงับลง
เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้
สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่
ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ; อนึ่ง เพราะ
ความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและ
สัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย ชนิดที่
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึงตติยฌาน แล้ว
แลอยู่ ; เพราะละสุข และทุกข์เสียได้ เพราะความดับไป
แห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึง
จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็น
ธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. !
อันนี้เรากล่าวว่า สัมมาสมาธิ.

  

1 comment:

  1. ใจเห็น ร่างกายหายใจ

    ReplyDelete