Wednesday

ปฏิบัติธรรมที่ไหนดี


  • เพื่อนคนหนึ่งลางานติดต่อกันจันทร์ถึงศุกร์ เพื่อจะได้ไปปฏิบัติธรรมยาว 9 วัน (รวมเสาร์อาทิตย์หน้าและหลังวันลา) ด้วยความปรารถดีจากเพื่อน เพื่อนคนนั้นจึงเอ่ยปากชวนมาว่า ลางานไปด้วยกันไหม 3 วันหรือ 5 วันก็ได้ เราจึงตกลงจะตามไปวัดดังกล่าวทีหลัง พร้อมกับถามแผนที่เส้นทางไปวัดนั้นเอาไว้เรียบร้อย เราก็ต้องจัดการเรื่องลางาน และบอกคนในครอบครัวล่วงหน้า เตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าเครื่องนอนพร้อมออกเดินทาง

  • เมื่อถึงวันเสาร์ก็เริ่มออกเดินทางจากบ้านไปวัด รู้สึกดีใจ เหมือนผีเสื้อน้อยเพิ่งออกจากดักแด้ มีโอกาสไปเผชิญโลกภายนอก ด้วยใจที่มุ่งหวังจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่



  • เมื่อเดินทางไปถึงวัด บรรยากาศเงียบสงบ เห็นผู้ปฏิบัติธรรมกำลังเดินจงกลมกันอยู่ เพื่อนผู้แนะนำพาไปเข้าพบพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ผู้นำการสอนการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ จึงได้กราบนมัสการท่านและขอเข้ารับการฝึกปฏิบัติธรรมด้วย
  • แต่พระท่านกล่าวปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า มาลองปฏิบัติธรรมแค่เสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ ต้องมาปฏิบัตอย่างจริงจัง 9 วัน 15 วัน ต้องอยู่ในกฏระเบียบ ทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างช้า ๆ กินข้าวอย่างช้า ๆ
  • แม้เราจะขอความเมตตาจากพระท่านว่า จะตั้งใจเรียนรู้วิธีการปฏิบัติแล้วนำหลักการกลับไปปฏิบัติต่อที่บ้าน แล้วคราวหน้าถ้าพระท่านจัดสอนปฏิบัติธรรมอีก แล้วจะลางานมาหลาย ๆ วัน
  • แต่พระท่านก็บอกปัดว่า คราวหน้าก็เต็มแล้ว สถานที่มีจำกัด ขนาดเพื่อนโยม ยังไปนอนในห้องเก็บของเลย
  • เมื่อได้ฟังดังนี้จึงได้กราบลาพระท่าน และกล่าวขอบคุณเพื่อนคนที่ชวนมาวัดนี้ว่า ถ้ามีโอกาสหน้าก็ชวนมาใหม่นะ ขอบคุณมากครับ แล้วเดินทางออกจากวัดนั้นด้วยอาการสงบเสงี่ยมเจียมตัว
  • รู้สึกงง ๆ และผิดหวังกับเหตุการณ์นี้ เพราะ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า การปรารภความเพียรเพียงราตรีเดียวมีค่ามากกว่ามีชีวิต 100 ปีแต่ปราศจากความเพียร ถึงแม้เราจะมีเวลาน้อยเพียงแค่ สองสามวัน แต่เราก็มาด้วยความตั้งใจจะพากเพียรปฏิบัติอย่างจริงจัง

  • จากนั้นก็เปิด GPS นำทางไปวัดชื่อดังอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากวัดแรก เมื่อเดินทางไปถึงวัดพบสาธุชนชุดขาวจำนวนมากนั่งพักผ่อนอิริยาบถอยู่ และมีส่วนหนึ่งยืนรอเข้าห้องน้ำกัน ในบริเวณนั้นมีเพิงร้านขายของเรียงเป็นแนวรูปตัวแอล มีรถยนต์จอดอยู่เต็มลานจอดรถ เมื่อลงจากรถแล้ว เดินตรงไปยังกุฏิเจ้าอาวาส ผ่านผู้คนมากมายที่นำพวงมาลัยไปถวายเจ้าอาวาส มีคนขายของที่ระลึก ขายเต่า มีขอทานนั่งอยู่เป็นระยะ
  • แล้วเราจะไปทางไหนดี จะปฏิบัติธรรมที่ไหนดี เหมือนกับว่าไม่มีคนรู้จัก ไม่มีคนแนะนำ และที่นี่เราจะอยู่กับเขาได้ไหมหละ
  • บรรยากาศ ณ ขณะนั้นทำให้นึกถึงประโยคที่ว่า "ไม่มีที่ไหนอบอุ่นใจ เท่าที่บ้านเรา" ว่าแล้วก็ขับรถกลับบ้าน ค้นหาวิธีปฏิบัติธรรมที่บ้าน ก็มาพบกับข้อความของท่าน ดังตฤณ ที่เขียนไว้ดีมากจึงขอยกมาเป็นข้อคิดสะกิดใจดังนี้

  • สถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมที่สุดก็คือ “ที่บ้านของเราเอง” นี่แหละ
    หากเราสามารถปฏิบัติธรรมที่บ้านของเราได้แล้ว การปฏิบัติธรรมจะเป็นเรื่องที่สะดวกมาก
    นอกจากนี้ เราก็ย่อมจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะเจริญในทางธรรม และเด็ก ก็มีโอกาสมากขึ้น ที่จะได้ปฏิบัติธรรมอยู่เนือง ๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่หากเราวางหลักเกณฑ์กับตัวเองว่าเราปฏิบัติธรรมที่บ้านไม่ได้ และเราจะต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดเท่านั้นแล้ว ย่อมจะทำให้การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องไม่สะดวกแล้วล่ะ ในหนึ่งเดือน มี 30 วัน ถามว่า เราจะไปวัดได้กี่วัน และไม่ได้ไปวัดกี่วัน
    ในจำนวนที่ไปวัดนั้น เราจะได้มีเวลาปฏิบัติธรรมจริง ๆ กี่ชั่วโมง
    สมมุติว่า เราไปวัดได้เดือนละ 4 วัน โดยได้ใช้เวลาปฏิบัติธรรมวันละ 8 ชั่วโมง
    เท่ากับว่า เราใช้เวลาปฏิบัติธรรมเดือนละ 32 ชั่วโมง แต่เวลาที่เหลืออีกเดือนละ 688 ชั่วโมงนั้น เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม เวลาที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นเวลาที่มากมายนั้น เราอาจจะโดนกิเลส ลากพาไปทำสิ่งอกุศลมากมาย แต่เวลาที่เราใช้ปฏิบัติธรรม เพื่อเจริญก้าวหน้าในทางธรรม กลับมีน้อยกว่ามาก เช่นนี้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร และมีโอกาสสูง ที่เราจะถอยหลังหรือไม่ได้เจริญก้าวหน้าในทางธรรม อย่าลืมว่า เราใช้หมดเวลาไปกับการเดินทาง และต้องใช้เวลาเพื่อการอื่น ๆ อีก เวลาที่ปฏิบัติธรรมจริง ๆ ที่เหลือในวัดในวันนั้น ก็คงมีไม่มากเท่าไร


  • เสมือนกับว่า เรากำลังพายเรือเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายสักแห่งหนึ่ง ในเดือนหนึ่ง ๆ เราตั้งใจพายเรือไปข้างหน้าอย่างเต็มที่เป็นเวลา 32 ชั่วโมง แต่พอหยุดพาย เวลาที่เหลืออีก 688 ชั่วโมง เราโดนกระแสน้ำลากพาถอยหลังไป ดีไม่ดี เราจะโดนน้ำลากพาถอยหลังไปไกลกว่าที่เราได้พายมาข้างหน้าเสียอีก และหากเราพายหน่อยนึง แล้วก็หยุดพักยาวเช่นนี้ โอกาสที่เราจะไปถึงสถานที่เป้าหมายย่อมจะมีน้อยมาก หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ ฉะนั้นแล้ว เราจึงควรต้องปฏิบัติธรรมที่บ้านให้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอวันหยุด หรือวันที่เราว่างเพื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัด หากเราสามารถปฏิบัติธรรมที่บ้านได้ ก็เปรียบเสมือนกับว่า เรายกวัดมาไว้ที่บ้านนั่นแหละครับ แทนที่เราจะต้องเสียเวลาเดินทางไปที่วัดเพื่อปฏิบัติธรรม เราก็ปฏิบัติธรรมเสียที่บ้านนี้แหละ ซึ่งจะสะดวกกว่าและสามารถทำได้ทุกวันด้วย การที่เราจะกราบพระ สวดมนต์ทำวัตร นั่งสมาธิ เดินจงกรม ล้วนแล้วแต่สามารถทำที่บ้านได้ทั้งสิ้น 


  • หากพ่อแม่จะสามารถปฏิบัติธรรมที่บ้านกับลูกได้แล้ว ก็จะเป็นประโยชน์มาก เช่น พ่อแม่สอนลูกปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติธรรมด้วยกัน โดยเริ่มต้น สอนด้วยการกราบพระด้วยกัน สวดมนต์ด้วยกัน นั่งสมาธิด้วยกัน หรือเดินจงกรมด้วยกัน โดยก็ทำด้วยกันที่บ้านตนเองนี่แหละ นอกจากเป็นการสอนลูกให้ปฏิบัติธรรมแล้ว พ่อแม่ก็ได้ปฏิบัติธรรมด้วย และเป็นการสร้างบรรยากาศความร่มเย็นให้กับงานตนเองอีกด้วย หากเราสามารถยกวัดมาไว้ที่บ้าน และสามารถปฏิบัติธรรมที่บ้านได้แล้ว
    เราสามารถพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ก็คือยกวัดมาไว้ที่ใจเรา ไม่ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เรามีวัดอยู่ที่ใจเรา และเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกแห่ง โดยไม่เกี่ยงสถานที่เลย


  • สำหรับกรณีบางท่านที่ไม่ชอบเรื่องการปฏิบัติธรรม แต่ชอบเรื่องการกราบไหว้พระ หรือทำบุญถวายสังฆทาน แต่ไม่ค่อยมีเวลาไปวัด ก็มีวิธีการง่าย ๆ ครับว่า เราก็กราบพระพุทธรูปที่บ้านหรือที่ทำงานนั่นแหละ กรณีของที่ทำงานนั้น เราอาจจะหาที่วางพระพุทธรูปไว้บนตู้วางเอกสารก็ได้
    ทุกครั้งที่มาถึงที่ทำงาน หรือก่อนเดินทางกลับบ้าน หรือช่วงเวลาที่เหนื่อยล้ามาก ๆ เราสามารถยกมือไหว้พระพุทธรูป โดยระลึกเสมือนว่าได้กราบพระพุทธเจ้า  หรือระลึกเสมือนว่าเราได้ไปกราบพระประธานอยู่ที่วัดแล้ว วันไหนที่เราสะดวก ก็สามารถซื้อพวงมาลัยใกล้ที่ทำงานมาถวาย
    โดยก็ระลึกเสมือนว่าได้ถวายพระพุทธเจ้า หรือระลึกเสมือนว่าไปถวายพระประธานที่วัด ก็ถือว่าได้พักผ่อนจิตใจ และช่วยทำให้จิตใจเราสงบร่มเย็น ส่วนกรณีของกราบไหว้พระพุทธรูปที่บ้านก็ทำนองเดียวกันนะครับ บางท่านอาจจะแย้งว่าพระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ จะไปกราบไหว้ทำไม ผมก็เข้าใจเช่นนั้นครับว่า พระพุทธรูปนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่นอน แต่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า การที่เรากราบไหว้พระพุทธรูปนั้น จึงอยู่ที่คนกราบไหว้ครับว่าจะกราบไหว้อะไร

  • ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า คุณพ่อผมได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อประมาณสามปีก่อน แต่สมัยก่อนที่คุณพ่อผมยังอาศัยอยู่ในบ้านด้วยกันนั้น  ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ผมก็ยกมือไหว้สวัสดีคุณพ่อผม
    หลังกลับมาจากที่ทำงานถึงบ้าน ผมก็ยกมือไหว้สวัสดีคุณพ่อผม แม้ทุกวันนี้ ผมก็ยังมีรูปคุณพ่อผมวางอยู่ในบ้าน โดยก่อนออกจากบ้านไปทำงาน หรือหลังจากกลับจากที่ทำงานถึงบ้าน
    ผมก็ยังยกมือไหว้ไปที่รูปคุณพ่อผม โดยระลึกถึงคุณพ่อของผมเช่นเดิม บางท่านอาจจะมองว่าผมไหว้รูป กรอบรูป หรือไหว้กระดาษธรรมดา แต่ใจผมระลึกถึงคุณพ่อ และกำลังกราบไหว้คุณพ่อผมอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่กราบไหว้ และคนที่มองนั้น จะมองเห็นอะไร
  • อย่างหลาย ๆ ท่านคงจะได้เคยกราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุ หรือกราบไหว้ต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้  ก็เป็นไปทำนองเดียวกันครับว่า ท่านคงจะไม่ได้กราบไหว้ โดยระลึกใจว่ากราบไหว้กระดูกธรรมดา หรือต้นไม้ธรรมดา แต่ย่อมจะกราบไหว้ โดยระลึกใจถึงพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
    ส่วนเรื่องทำบุญถวายสังฆทานนั้น หากเราไม่มีเวลาไปทำบุญที่วัดได้บ่อย ๆ ก็แนะนำให้หากระปุกออกสินมาหนึ่งกระปุก หรือจะเป็นถุงพลาสติกหนึ่งถุงก็ได้ โดยเราก็ถือว่ากระปุกนั้น หรือถุงนั้น เทียบได้กับเป็นกล่องรับปัจจัยทำบุญสังฆทานของวัด วันไหนเราอยากจะทำบุญ หรือเราอยากจะทำบุญทุกวัน หากเราใส่เงินจนเต็มกระปุกหรือเต็มถุงแล้ว แต่เราก็ยังไม่มีเวลาไปที่วัดเลย เราก็สามารถฝากญาติธรรมที่ไว้ใจได้ ให้นำเงินเหล่านั้นไปใส่กล่องรับปัจจัยทำบุญสังฆทานที่วัดใด ๆ แทนเราก็ได้เช่นกัน ไม่ใช่ว่าเราอธิษฐานจิตแล้วถวายเงินใส่กระปุกและถุงไปแล้ว แต่เรากลับนำเงินนั้นไปใช้อีก หรือนำเงินนั้นไปหมุนทำอย่างอื่นก่อน เช่นนี้ก็จะเป็นอกุศล โดยถือว่าเรานำเงินที่เราถวายสังฆทานเสร็จแล้วไปใช้อย่างอื่น
  • สำหรับท่านที่ไม่ค่อยจะมีเวลาไปวัด แล้วก็สร้างหลักเกณฑ์กับตนเองว่าไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรม
    ไม่มีโอกาสกราบไหว้พระ ไม่มีโอกาสทำบุญถวายสังฆทาน ก็แนะนำว่าให้ลอง ยกวัดมาไว้ที่บ้าน ยกวัดมาไว้ที่ทำงาน ยกวัดมาไว้ที่ใจ  เรานะครับ ย่อมจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับชีวิตของเราครับ
    เราก็สามารถทำบุญได้สะดวกโดยการนำเงินใส่กระปุกหรือใส่ถุงนั้นไว้ก่อน แล้วหากวันไหนที่เราไปวัด จึงนำเงินในกระปุกหรือถุงนั้นไปใส่กล่องรับปัจจัยทำบุญสังฆทานที่วัดก็เปรียบได้ว่า เรามีกล่องรับปัจจัยทำบุญสังฆทานของวัดไว้ที่บ้านหรือที่ทำงานของเราเอง ซึ่งทำให้เราสะดวกและสามารถทำบุญถวายสังฆทานได้ทุกวันและเวลาเลย มีจิตกุศลอยากทำบุญเมื่อไร ก็สามารถทำได้ทันที ทำสังฆทานวันละสามเวลาสี่เวลาก็ยังได้ และหากเราต้องการจะกล่าวคำถวายด้วย ก็ไม่มีอะไรห้ามนะครับ  ก็สามารถกล่าวคำถวายเองก่อนจะใส่เงินลงในกระปุกหรือในถุงก็ได้

  • คิดอย่างคนมีสมาธิ
    ฝึกทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
    จะได้จิตของคนมีสมาธิ
    หมั่นพูดเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก
    จะได้จิตของคนฟุ้งซ่านจัด

    จิตที่มีสมาธิคือจิตที่ไม่คิดมาก
    เข้าถึงความง่ายในการรับรู้อะไรอย่างเดียว
    ตรงไปตรงมา ไม่ยอกย้อน
    ไม่ซับซ้อน ไม่เงื่อนไขมาก

    การทำให้ชีวิตเป็นเรื่องเรียบง่าย
    จึงเข้ากับจิตที่เป็นสมาธิ
    แม้แต่นักกีฬาที่ต้องคิดมากที่สุด
    อย่างพวกเล่นหมากรุกระดับโลก

    ที่ไปถึงดวงดาว เป็นแชมป์โลกได้
    ก็ต้องทำหมากยากให้กลายเป็นง่าย
    ไม่ใช่ผูกหมากให้ซับซ้อนเสียจนเต็มไปด้วยป่ารก
    แล้วทำให้ใจหลุดจากโฟกัส สับสนวกวนเสียเอง

    ในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่มักคิดมาก
    เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เก็บมาคิดไม่เลิก
    หรือแม้แต่ธรรมอันสว่างที่ควรเย็น
    ควรเรียบง่าย ศึกษาแล้วได้สมาธิ

    ก็ไปคิดเสียร้อน พูดเสียร้อน
    นึกว่ายิ่งซับซ้อนยิ่งดูฉลาด เมื่อฝึกคิดเรื่องเดียวให้เป็น และพูดให้ตรงความจริงอันเดียวซื่อๆได้คุณจะรู้สึกถึงความเยือกเย็นมีระเบียบความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวโดยง่าย ไม่กระสับกระส่ายกระจัดกระจาย หรือเมื่อตั้งท่าจะกระจายก็สังเกตออก จับได้ไล่ทัน ไม่ใช่จับอะไรไม่ได้สักอย่างสักแต่กระโดดไปทางโน้นทีทางนี้ทีแบบหยุดยาก เมื่อคิดถึงเรื่องเดียวได้ง่ายๆจนกระทั่งใจเย็นลงจริงๆ เมื่อลงนั่งสมาธิ คุณจะไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งเหลือวิสัย ก็แค่ดูอะไรอย่างเดียว ด้วยจิตดวงเดียวการนึกถึงสิ่งหนึ่งโดยไม่คอยแต่จะวกไปนึกถึงอีกสิ่งจะค่อยๆรวบรวมกระแสจิตให้เข้าที่ตั้งมั่นนั่นแหละสมาธิที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเกิดยากนักยากหนา

  • จากบทความข้างบนของท่าน ดังตฤณ เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นอิ่มใจขึ้นมา เหมือนเทียนไขส่องท่ามกลางความมืดมิด กราบขอบพระคุณครับ
  • ถึงแม้ บ้านของเรา จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะแต่ก็มีข้อเสียบางประการเช่น สิ่งภายนอก มากระทบได้ง่าย, บ่อย และแรง หากจิตใจผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ไม่เข็มแข็งพอ ก็ทำให้ถูกกระแสน้ำพัดไปโดยง่าย ดังนั้นจึงควรพึงระวังใจ และเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ฝึกจิตใจในสมรภูมิแห่งความเป็นจริง ถ้าผ่านไปได้นั่นแหละ ของจริง

1 comment: